ค้นหาสิ่งที่คุณต้องการ

หรือค้นหาโดย

หัวข้อ

Article
Article

Article

e-Book
e-Book

e-Book

Video
Video

Video

Campaigns
Campaigns

Campaigns

Architecture
กล้องคอมแพค

กล้องคอมแพค

Architecture
DSLRs

DSLRs

Architecture
การถ่ายวีดิโอ

การถ่ายวีดิโอ

Architecture
ภาพดาราศาสตร์

ภาพดาราศาสตร์

Architecture
กล้องมิลเลอร์เลส

กล้องมิลเลอร์เลส

Architecture
ภาพสถาปัตยกรรม

ภาพสถาปัตยกรรม

Architecture
เทคโนโลยีของแคนนอน

เทคโนโลยีของแคนนอน

Architecture
การถ่ายภาพในขณะที่มีแสงน้อย

การถ่ายภาพในขณะที่มีแสงน้อย

Architecture
การสัมภาษณ์ช่างภาพ

การสัมภาษณ์ช่างภาพ

Architecture
ภาพวิวทิวทัศน์

ภาพวิวทิวทัศน์

Architecture
การถ่ายภาพมาโคร

การถ่ายภาพมาโคร

Architecture
การถ่ายภาพกีฬา

การถ่ายภาพกีฬา

Architecture
การถ่ายภาพท่องเที่ยว

การถ่ายภาพท่องเที่ยว

Architecture
การถ่ายภาพใต้น้ำ

การถ่ายภาพใต้น้ำ

Architecture
แนวคิดการถ่ายภาพและการประยุกต์ใช้

แนวคิดการถ่ายภาพและการประยุกต์ใช้

Architecture
การถ่ายภาพสตรีท

การถ่ายภาพสตรีท

Architecture
กล้องมิเรอร์เลสแบบฟูลเฟรม

กล้องมิเรอร์เลสแบบฟูลเฟรม

Architecture
เลนส์และอุปกรณ์เสริม

เลนส์และอุปกรณ์เสริม

Architecture
Nature & Wildlife Photography

Nature & Wildlife Photography

Architecture
การถ่ายภาพพอร์ตเทรต

การถ่ายภาพพอร์ตเทรต

Architecture
การถ่ายภาพกลางคืน

การถ่ายภาพกลางคืน

Architecture
การถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง

การถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง

Architecture
โซลูชั่นการพิมพ์

โซลูชั่นการพิมพ์

Architecture
รีวิวผลิตภัณฑ์

รีวิวผลิตภัณฑ์

Architecture
การถ่ายภาพงานแต่งงาน

การถ่ายภาพงานแต่งงาน

ผลิตภัณฑ์ >> ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด

EOS-1D X Mark II ของ Canon - รองรับการถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด 14 เฟรมต่อวินาที ครั้งแรกกับกล้องฟูลเฟรมที่มีระบบ Dual Pixel CMOS AF

2016-02-18
1
4.09 k
ในบทความนี้:

กล้อง Canon EOS-1D X Mark II DSLR จะออกวางจำหน่ายในเดือนเมษายนนี้ กล้องระดับแฟลกชิปรุ่นใหม่นี้ถูกวางตัวให้เป็นทายาทต่อจากรุ่น EOS-1D X และต่อไปนี้เป็นรายงานชิ้นแรกของเราเกี่ยวกับผลัตภัณฑ์ใหม่อันน่าทึ่ง ซึ่งมีการประกาศเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2016 (รายงานโดย: Makoto Suzuki (Digital Camera Watch))

 

ทายาทต่อจาก EOS-1D X ขนาดฟูลเฟรมระดับแฟลกชิปของ Canon

กล้อง EOS-1D X รุ่นดั้งเดิม ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน 2012 ผสานรวมคุณสมบัติของกล้อง EOS-1D ที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ขนาด APS-H และกล้องระดับมืออาชีพรุ่น EOS-1DS ขนาดฟูลเฟรมไว้ด้วยกัน ในทำนองเดียวกัน Mark II ซึ่งเป็นกล้องรุ่นถัดมาก็ใช้เซ็นเซอร์ CMOS เทียบเท่าแบบฟูลเฟรม 35 มม. ซึ่งพัฒนาขึ้นจากความละเอียด 20.2 ล้านพิกเซล และมาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual Pixel CMOS AF นอกจากนี้ ความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องยังเพิ่มขึ้นถึง 14 เฟรมต่อวินาที (ระหว่างการถ่ายผ่านช่องมองภาพ) และสูงถึง 16 เฟรมต่อวินาที (ระหว่างการถ่ายแบบ Live View)

คุณสมบัติใหม่อื่นๆ ยังได้แก่ ฟังก์ชั่น AF/AE ที่ปรับปรุงใหม่ ความสามารถในการใช้งานร่วมกับการบันทึกภาพเคลื่อนไหวระดับ 4K, อุปกรณ์ GPS ในตัว และฟังก์ชั่นการแก้ไขความคลาดของเลนส์ภายในกล้อง

เซ็นเซอร์ความละเอียด 20.2 ล้านพิกเซลและ Dual DIGIC 6+

สำหรับกล้อง EOS-1D X เราได้เพิ่มจำนวนพิกเซลที่ใช้งานได้จาก 18.1 เป็น 20.2 ล้านพิกเซล ความไวแสง ISO มีช่วงระหว่าง ISO 100 – 51200 (ปกติ) และ ISO 50 – 409600 (แบบขยาย) ระบบประมวลผลภาพได้รับการอัพเกรดจากระบบ Dual DIGIC 5+ ที่ใช้งานบนกล้อง EOS-1D X มาเป็นระบบ Dual DIGIC 6+ และการปรับปรุงประสิทธิภาพการประมวลผลใหม่นี้ยังมาคู่กับคุณสมบัติการแก้ไขความบิดเบี้ยวแบบทันทีซึ่งนำมาใช้งานบนกล้อง EOS เป็นครั้งแรก

Dual DIGIC 6+

คุณสมบัติอีกอย่างที่นำมาใช้ครั้งแรกเช่นกันก็คือ Dual Pixel CMOS AF (บนกล้องขนาดฟูลเฟรม 35 มม.) ระบบนี้เคยนำมาใช้งานกับรุ่น EOS ในกล้อง EOS 70D ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2013 เพื่อเพิ่มความเร็วของ AF และช่วยในการถ่ายภาพ Live View และภาพเคลื่อนไหว

นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มคุณสมบัติของหน้าจอสัมผัสเป็นครั้งแรก ซึ่งนับว่าเป็นการนำมาใช้เป็นครั้งแรกสุดในกล้องซีรี่ส์ EOS-1D ซึ่งให้ประโยชน์ในแง่การเลือกจุด AF และแสดงกำลังขยายระหว่างการถ่ายภาพแบบ Live View

ความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด 14 เฟรมต่อวินาที และถ่ายภาพแบบ Live View ได้สูงสุด 16 เฟรมต่อวินาที

ในแง่ของความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่อง Mark II สามารถถ่ายภาพด้วยความเร็วสูงถึง 14 เฟรมต่อวินาที เร็วกว่ากล้อง EOS-1D X ที่ถ่ายได้สูงสุด 12 เฟรมต่อวินาทีอยู่ 2 ภาพต่อวินาที อีกทั้งมีอายุการใช้งานของชุดชัตเตอร์อยู่ที่ราว 400,000 รอบ

ชุดชัตเตอร์

เพื่อช่วยในการถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง เราจึงได้นำระบบขับเคลื่อนกระจกหลักแบบใหม่มาใช้ในกล้อง EOS-1D X Mark II ในกล้อง EOS-1D X การเคลื่อนที่ขึ้นลง ("การเคลื่อน") ของกระจกชิ้นหลักจะถูกควบคุมโดยกลไกแบบสปริงซึ่งทำให้ยากต่อการลดความเร็วในการเคลื่อนที่ (เช่น เวลาในการเคลื่อนกระจก) แต่ใน Mark II เราได้เพิ่มกลไกป้องกันการเคลื่อนที่ของกระจกโดยใช้มอเตอร์ ซึ่งใช้ลูกเบี้ยวลดความเร็วในการ "เบรก" กระจกให้หยุดก่อนที่บานกระจกจะพลิกขึ้น/ลง เพื่อลดผลกระทบของการสั่นสะเทือนของกระจก และเพื่อช่วยการทำงานของฟังก์ชั่น AF/AE เรายังรวมกลไกแบบใหม่เข้าไปเพื่อดูดซับพลังงานจากการเคลื่อนของกระจกชิ้นรอง

กล่องไฟและกลไกถ่ายภาพต่อเนื่องของชัตเตอร์

โหมดการถ่ายภาพแบบเงียบเป็นโหมดขับเคลื่อนซึ่งการเคลื่อนไหวขึ้น/ลงของกระจก และการถ่ายภาพต่อเนื่องของชัตเตอร์จะมีความเร็วช้าลงกว่าการถ่ายภาพปกติเพื่อลดเสียงดังจากการขับเคลื่อนของกลไก การถ่ายภาพต่อเนื่องแบบเงียบสามารถถ่ายได้สูงสุด 5 เฟรมต่อวินาที สำหรับการถ่ายภาพเดี่ยว จะมีโหมด "ถ่ายภาพเดี่ยวแบบเงียบ" ซึ่งชัตเตอร์ถ่ายภาพต่อเนื่องและแผ่นกระจกจะพลิกลงทันทีที่คุณกดปุ่มลั่นชัตเตอร์

เซ็นเซอร์ AF แบบ 61 จุดใหม่ที่รองรับจุดโฟกัสที่ f/8

ในขณะที่ Mark II มีจุด AF สูงสุดที่ 61 จุด (แบบ Cross-type 41 จุด) เช่นเดียวกับรุ่น EOS-1D X แบบแนวตั้ง แต่มีพื้นที่การโฟกัสมากกว่า ขีดจำกัดต่ำสุดของระดับความสว่างในการโฟกัสที่จุดกึ่งกลางอยู่ที่ EV-3 ในขณะที่กล้อง EOS-1D X อยู่ที่ EV-2

เซ็นเซอร์ AF

ขณะนี้ จุด AF ทั้งหมดสามารถทำงานด้วยรูรับแสงกว้างสุด f/8 (นอกเหนือจากแบบ 21 จุดที่เป็น Cross-type โดยในกล้อง EOS-1D X เฉพาะที่จุด AF กึ่งกลางและ 4 จุดที่อยู่รอบๆ เท่านั้นที่สามารถทำเช่นนี้ได้) ดังนั้น แม้ว่ารูรับแสงของคุณจะมีความกว้างสูงสุดที่ f/8 เนื่องจากใช้ตัวขยายช่องมองภาพก็ตาม คุณจะยังคงมีอิสระมากขึ้นในการถ่ายภาพเมื่อใช้งาน AF

ในแง่ของโหมดการเลือกพื้นที่โฟกัสอัตโนมัติ โหมด Large Zone AF (ที่มีพื้นที่ให้เลือก 3 พื้นที่) ซึ่งมีในกล้อง EOS 7D Mark II ยังได้ถูกนำมารวมไว้ในกล้องซีรี่ส์ EOS-1D เป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังได้เพิ่มโหมดการตรวจจับใบหน้าในระบบจดจำและติดตามวัตถุอัจฉริยะ EOS iTR (Intelligent Tracking and Recognition) AF ในส่วนของ AI Servo AF ที่มีในกล้องปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพในการติดตามตัวแบบที่เคลื่อนเข้าหาตัวกล้องและตัวแบบที่ไม่อาจคาดเดาการเคลื่อนไหวได้ อันที่จริงแล้ว AI Servo AF III+ บนกล้อง EOS-1D X Mark II ได้เอาชนะปัญหาที่เคยประสบมาก่อนหน้านี้ใน EOS-1D X เมื่อมีตัวแบบที่เคลื่อนที่เข้าหากล้องอย่างรวดเร็วและผ่านไปในทันที (เช่น การแข่งรถ)

ชุด AF แบบ All-cross type 61 จุด

เซ็นเซอร์วัดแสงที่พัฒนาขึ้นพร้อมคุณสมบัติการถ่ายภาพแบบ Anti-flicker

ครั้งแรกในกล้องรุ่น EOS-1D ที่มีการรวมคุณสมบัติการถ่ายภาพ Anti-flicker เข้าไว้ด้วยกัน คุณสมบัตินี้สามารถช่วยลดเอฟเฟ็กต์จากแสงที่สั่นไหวจากแสงไฟต่างๆ เพื่อควบคุมระดับแสงและสีที่ไม่สม่ำเสมอระหว่างการถ่ายภาพต่อเนื่อง โดยเมื่อระบบตรวจพบแสงที่สั่นไหว สัญลักษณ์เตือน "Flicker!" จะปรากฏขึ้นที่มุมขวาล่างของหน้าจอช่องมองภาพ
ระบบจดจำตัวแบบและความแม่นยำในการรับแสงได้รับการปรับปรุงใหม่ เนื่องมาจากการเพิ่มจำนวนของพิกเซลในเซ็นเซอร์วัดแสง RGB+IR ขนาด 360,000 พิกเซลที่ได้ัรับการพัฒนาใหม่ล่าสุด (ในขณะที่รุ่นก่อนหน้ามีขนาด 100,000 พิกเซล RGB) นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาในเรื่องความแม่นยำในการติดตาม EOS iTR AF อีกด้วย

เซ็นเซอร์วัดแสง RGB+IR ขนาด 360,000 พิกเซล

หน้าจอแสดงข้อมูลช่องมองภาพขนาดใหญ่ การแสดงจุดโฟกัสอัตโนมัติสีแดงกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง

EOS-1D X Mark II มีพื้นที่ภาพในช่องมองภาพที่สามารถแสดงข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับกล้องรุ่นก่อนหน้านี้ ตัววัดระดับความเอียงอิเล็กทรอนิกส์แบบแกนคู่ (ซึ่งสามารถแสดงในโหมด AF ได้ด้วยเช่นกัน) ติดตั้งอยู่ที่ส่วนกลางด้านบนสุดของพื้นที่ ขณะที่ตัวแสดงการตั้งค่าโหมดต่างๆ อยู่ในส่วนล่างสุดตรงกลาง ตัวแสดงระดับการรับแสงแต่เดิมจะติดตั้งอยู่ด้านนอกทางด้านขวาของพื้นที่ภาพเท่านั้น แต่ใน EOS-1D X Mark II จะติดตั้งเพิ่มอีกตัวที่ด้านล่างสุดของพื้นที่ภาพ
นอกจากนี้ การแสดงจุดโกัสอัตโนมัติสีแดงดังที่เคยปรากฏใน EOS-1D Mark IV ได้กลับมาใช้งานได้อีกครั้งใน EOS-1D X Mark II โดยเชื่อมโยงระบบ EOS iSA เข้ากับการแสดงผลแบบออพติคอลแบบวางซ้อนกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณจึงมองเห็นจุดโฟกัสอัตโนมัติที่เลือกไว้รวมถึงจุดที่มีให้เลือกแม้อยู่ในพื้นที่มืดได้ ซึ่งจะช่วยให้เลือกจุดโฟกัสได้ง่ายยิ่งขึ้นในสภาวะที่มีความเข้มของแสงต่ำ
จอภาพ Organic LED (OLED) ถูกนำมาใช้เพื่อแสดงข้อมูลนอกพื้นที่ภาพในช่องมองภาพ เพื่อพัฒนาการตอบสนองของหน้าจอในอุณหภูมิต่ำและความสามารถในการอ่านค่าของหน้าจอเมื่อมีความเปรียบต่างสูง

รองรับภาพเคลื่อนไหว 4K 60p/50p และยังสามารถบันทึกในรูปแบบ Full HD ที่ 120p/100p

EOS 1D-X Mark II คือกล้อง EOS ตัวแรกที่รองรับการบันทึกภาพเคลื่อนไหว 4K 60p/50p และการบันทึกที่ความละเอียดแบบ Full HD ที่ 120p/100p ก็สามารถทำได้แล้วเช่นกัน การผสมผสานระหว่าง Dual Pixel CMOS AF และหน้าจอแบบสัมผัส 1.62 ล้านจุด ช่วยให้คุณสามารถใช้หน้าจอสัมผัสเพื่อโฟกัสไปพร้อมกับบันทึกภาพเคลื่อนไหวได้

อีกทั้งยังมีระดับความเร็ว AF สำหรับ Movie Servo AF ให้เลือกได้ถึง 10 ระดับ และการติดตามโฟกัสอัตโนมัติที่ครอบคลุมทุกเฟรมแม้ในระหว่างการบันทึกภาพเคลื่อนไหวที่มีอัตราต่อเฟรมสูงที่ระดับ Full HD 120p/100p คณยังสามารถเริ่มและหยุดบันทึกภาพเคลื่อนไหวด้วยอุปกรณ์ัอัจฉริยะโดยใช้อุปกรณ์ส่งไฟล์ภาพไร้สาย (แยกจำหน่ายต่างหาก) ซึ่งจะมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการถ่ายภาพโดยใช้โดรน เนื่องจากมีความทนทานต่อการรบกวนของสัญญาณ Wi-Fi และแม้ว่าการเชื่อมต่อจะขาดหายไปเนื่องจากระยะทางที่ไกลก็สามารถเชื่อมต่อใหม่ได้อีกครั้งโดยการขยับเข้าไปใกล้ขึ้น

นับเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันสำหรับ Canon ที่มีฟังก์ชั่น Frame Grab แบบใหม่ ซึ่งให้คุณสามารถแบ่งเฟรมเพียงเฟรมเดียวออกมาจากทั้งหมด 60 เฟรมโดยประมาณ (50 เฟรมสำหรับระบบ PAL) ในทุกๆ วินาทีของภาพเคลื่อนไหว 4K ที่บันทึกไว้ และบันทึกเป็นภาพ JPEG ขนาดประมาณ 8.8 ล้านพิกเซลได้

GPS ในตัว พร้อมใช้งานร่วมกับการสื่อสารความเร็วสูงด้วยคลื่นความถี่ 5GHz

ด้วยการติดตั้ง GPS เข้าไปในตัวกล้อง ทำให้ขณะนี้สามารถซิงค์ข้อมูลเวลาและระบุพิกัดสถานที่ลงบนข้อมูลภาพ EXIF ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริมช่วย GPS บนกล้อง EOS-1DX Mark II ยังสามารถใช้งานร่วมกับระบบติดตามตำแหน่งผ่านดาวเทียม GLONASS และ Michibiki ได้ อีกทั้งยังมีความแม่นยำในการระบุตำแหน่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้าที่อยู่ในชุด GP-E1/GP-E2 GPS และยังมีฟังก์ชั่นการบันทึกข้อมูลภายในอุปกรณ์ด้วย

อุปกรณ์ส่งไฟล์ภาพไร้สาย WFT-E8 ซึ่งจำหน่ายแยกต่างหากรองรับมาตรฐาน IEEE802.11ac แบบใหม่ จึงทำให้คุณสื่อสารได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยอุปกรณ์ส่งไฟล์ภาพไร้สายนี้เอง กล้องจึงสามารถเชื่อมโยงเข้ากับแอพ Camera Connect ที่ช่วยให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อัจฉริยะได้

มาพร้อมกับอุปกรณ์ส่งไฟล์ภาพไร้สาย WFT‒E8

การแก้ไขความคลาดของเลนส์และ Digital Lens Optimizer ใหม่ภายในกล้อง

EOS‒1D X ใช้ระบบแก้ไขแสงบริเวณขอบภาพและระบบแก้ไขความคลาดสีระหว่างการถ่ายภาพในรูปแบบ JPEG ส่วนในรุ่น EOS-1D X Mark II ทำได้มากกว่าด้วยการใช้ระบบการแก้ไขความบิดเบี้ยว (มีในรุ่น EOS 7D Mark II) และการแก้ไขการกระจายแสง ทั้งหมดนี้ทำให้คุณถ่ายภาพที่ต้องใช้รูรับแสงขนาดเล็กได้ง่ายดายขึ้น และเนื่องจากระบบการประมวลภาพที่ฉับไวด้วยเทคโนโลยี Dual DIGIC 6+ การแก้ไขดังที่กล่าวมาจึงไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในแง่ลบต่อความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องเลย

จนถึงขณะนี้ ยังคงต้องมีการลงทะเบียนข้อมูลการแก้ไขความคลาดของเลนส์ไว้ในตัวกล้องโดยใช้แอพพลิเคชั่นคอมพิวเตอร์ EOS Utility อย่างไรก็ดี EOS-1D X Mark II มาพร้อมกับข้อมูลการแก้ไขแสงบริเวณขอบภาพ แก้ไขความคลาดสี และแก้ไขความบิดเบี้ยวในตัวกล้องอยู่แล้ว จึงน่าจะช่วยลดความยุ่งยากไปได้มาก เนื่องจากเลนส์ตัวใหม่จะมีข้อมูลการแก้ไขความคลาดของเลนส์อยู่แล้ว ดังนั้นกล้องจะสามารถอ่านข้อมูลได้จากเลนส์โดยตรง

ยิ่งไปกว่านั้น Digital Lens Optimizer ซึ่งในอดีตสามารถเข้าถึงได้ด้วยแอพพลิเคชั่นคอมพิวเตอร์ Digital Photo Professional (DPP) เท่านั้น ปัจจุบันได้ถูกนำมาติดตั้งไว้ภายในกล้อง และสามารถใช้งานระหว่างประมวลผลภาพ RAW ภายในกล้องได้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของ EOS ด้วยเช่นเดียวกัน

ช่องใส่การ์ดสองช่อง หนึ่งช่องสำหรับ CF และอีกหนึ่งช่องสำหรับ CFast สามารถใช้แบตเตอรี่รุ่นเดียวกับในกล้อง EOS-1D X

มีช่องใส่การ์ดสองช่องสำหรับสื่อบันทึก หนึ่งช่องสำหรับการ์ด CFast 2.0 และอีกหนึ่งช่องสำหรับการ์ด CF ทั้งการ์ด CFast และ CF รองรับภาพต่อเนื่องในรูปแบบ JPEG แบบไม่จำกัดจำนวน สำหรับภาพ RAW การ์ด CFast 2.0 สามารถรองรับภาพได้ 170 ภาพ ในขณะที่การ์ด UDMA 7 CF สามารถรองรับภาพได้ 73 ภาพ หากเปรียบเทียบกัน EOS-1D X (การ์ด CF เท่านั้น) รองรับภาพ JPEG ได้ 100 ภาพ และภาพ RAW ได้ 35 ภาพ

นอกจากนี้ Mark II ยังรองรับระบบไฟล์ exFAT ซึ่งตัดปัญหาขีดจำกัดขนาดไฟล์ภาพเคลื่อนไหวที่ 4GB ออกไป เพื่อช่วยขจัดความไม่สะดวกในการต้องต่อไฟล์ภาพเคลื่อนไหวเข้าด้วยกัน อย่างไรก็ดี ขีดจำกัดของขนาดไฟล์ยังใช้ได้กับการ์ด CF ที่มีความจุขนาด 128 GB หรือน้อยกว่านั้น เนื่องจากการ์ดจะถูกฟอร์แมตในรูปแบบ FAT32

กล้องมาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ LP-E19 แบตเตอรี่ LP-E4/E4N ซึ่งใช้ใน EOS-1D X และกล้องอื่นบางรุ่นนั้น ยังสามารถนำมาใช้กับรุ่น Mark II ได้ด้วย ที่ชาร์จ LC-E19 แบบพ่วงรุ่นใหม่ยังสามารถนำมาใช้ชาร์จแบตเตอรี่ LP-E4/E4N ได้เช่นกัน

มือจับปรับปรุงใหม่และการควบคุมที่ดียิ่งขึ้น

"การใช้งานอย่างมืออาชีพ" มักหมายถึงการถ่ายภาพได้ติดต่อกันนานหลายชั่วโมง ด้วยคำนึงถึงสิ่งนี้ เราจึงได้ปรับเปลี่ยนส่วนการควบคุมกล้องเพิ่มเติม มือจับได้รับการออกแบบให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ผู้ใช้ที่มือเล็กสามารถจับถือกล้องได้ง่ายขึ้น

นอกจากนั้นยังมีออกแบบมือจับแบบแนวตั้งใหม่ เพื่อให้สามารถจับโดยใช้นิ้วกลางและนิ้วก้อยได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้น และยังมีการเปลี่ยนตำแหน่งของปุ่ม บนมือจับแนวตั้ง เพื่อให้ความรู้สึกในการใช้งานไม่ต่างจากปุ่ม ปกติ

กล้องรุ่นนี้สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม คุณสามารถกำหนดฟังก์ชั่นปุ่มให้กับคุณสมบัติต่างๆ เช่น "เล่น", "ขยาย/ลดขนาดภาพ" หรือ "ลบ" ให้กับปุ่ม ใกล้กับเมาท์ของเลนส์ หรือปุ่มการชดเชยแสง/รูรับแสงก็ได้

ขนาดประมาณ 158 × 167.6 × 82.6 มม. (กว้าง x สูง x ลึก) และน้ำหนักประมาณ 1,340 ก. (เฉพาะตัวกล้อง ตามข้อกำหนดของ CIPA)

*วันที่ที่วางจำหน่ายที่กล่าวถึงในบทความนี้อ้างอิงจากตลาดในประเทศญี่ปุ่น
*ข้อมูลที่ใช้ในบทความนี้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ณ เวลาที่เขียน และอาจแตกต่างไปจากสถานการณ์ในปัจจุบัน

Digital Camera Watch

ส่งข่าวสารรายวันเกี่ยวกับเรื่องราวของกล้องดิจิตอลและอุปกรณ์เสริมต่างๆ รวมถึงซอฟต์แวร์ตกแต่งภาพ นอกจากนี้ยังเผยแพร่บทความต่างๆ เช่น รีวิวการใช้กล้องดิจิตอลจริงพร้อมตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องรุ่นใหม่ๆ

http://dc.watch.impress.co.jp/

บทความที่เกี่ยวข้อง

แบ่งปันภาพถ่ายของคุณใน My Canon Story แล้วร่วมลุ้นโอกาสเผยแพร่ผลงานบนโซเชียลมีเดียของเรา