[ตอนที่ 3] ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านและการพัฒนา – เลนส์สำหรับกล้องความละเอียดสูง
ในเดือนเมษายน 2014 ยอดการผลิตเลนส์ EF จาก Canon มียอดทะลุสถิติ 100 ล้านชิ้น ระบบเมาท์เลนส์ใหม่ชนะใจช่างภาพด้วยระบบควบคุมเชิงกลไกที่แตกต่างจากเมาท์เลนส์ FD แบบเดิมได้อย่างไร บทความตอนที่ 3 นี้จะเล่าถึงความประวัติการเปลี่ยนแปลงพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น (เรื่องโดย: Kazunori Kawada)
หน้า: 1 2
ระยะที่ 3: ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านและการพัฒนา - เลนส์สำหรับกล้องความละเอียดสูง
Canon ร่วมมือกับ Kodak เปิดตัวกล้อง DSLR รุ่นหนึ่งในปี 1995 โดยมีบอดี้กล้อง EOS ของ Canon เป็นโครงหลัก การเปิดตัวครั้งนั้นเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากกล้องฟิล์มซึ่งเป็นที่นิยมมาสู่ยุคกล้องดิจิตอล แม้ว่าสัดส่วนการใช้กล้อง EOS แบบดิจิตอลกำลังเติบโตขึ้น ความเข้ากันของเลนส์ EF สำหรับกล้องฟิล์มกลับไม่ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ใดๆ อาจเป็นเพราะจำนวนพิกเซลในช่วงเริ่มแรกค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม กล้องดิจิตอลต่างกับกล้องฟิล์ม คือมีเซนเซอร์ภาพที่พื้นผิวราบเรียบจึงไวต่อการสะท้อนภายในเลนส์ เพื่อจัดการกับปัญหานี้ จึงมีการนำเลนส์ใหม่มาใช้กับการเคลือบสารป้องกันการสะท้อนอีกชั้นหนึ่งซึ่งให้ประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน ในช่วงนั้นยังเห็นได้ว่าจำนวนพิกเซลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแม่แบบ ด้วยการคาดคะเนว่ายุคของกล้องความละเอียดสูงจะเริ่มต้นขึ้น Canon จึงเริ่มนำการออกแบบเลนส์ EF ที่มีระดับสมรรถนะด้านความละเอียดสูงกว่าในยุคกล้องฟิล์มอย่างมากมาใช้ ปี 2004 ซีรีย์เลนส์ EF-S เปิดตัวต่อตลาดพร้อมด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างเลนส์ขนาดเล็กและน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับการใช้งานกับกล้อง APS-C ซึ่งเป็นที่นิยมในเวลานั้น
คุณสมบัติของเลนส์ EF ข้อที่ 1 - SWC
- แสงที่ตกกระทบ
- อากาศ
- SWC
- กระจก
SWC (Subwavelength Structure Coating) คือ เทคโนโลยีที่สร้างโครงสร้างนาโนเป็นรูปลิ่มผิวเลนส์ เล็กกว่าคลื่นแสงบนผิวเลนส์เพื่อป้องกันการสะท้อน โดยเทคโนโลยีนี้สามารถแก้ไขปัญหาแสงเข้าที่มีมุมตกกระทบกว้าง และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการสะท้อนของแสงในเลนส์มุมกว้างซึ่งมีความโค้งมนมาก
คุณสมบัติ Image Stabilizer (IS) ถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อปี 1995 มีการพัฒนาควบคู่กับกล้องดิจิตอล เนื่องจากการสั่นไหวของกล้องกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นเมื่อความละเอียดของกล้องดิจิตอลสูงขึ้นเมื่อเทียบกับกล้องฟิล์ม ผลจากการแก้ไขของระบบ IS ในครั้งแรกนั้นเทียบเท่ากับความเร็วชัตเตอร์สองสต็อป จากนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับการพัฒนาครั้งสำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา ในเวลานั้น มีการเปิดตัว “EF100mm f/2.8L Macro IS USM” ในปี 2009 “ระบบ IS แบบไฮบริด” ถูกนำมาใช้ โดยสามารถแก้ไขการสั่นในแนวดิ่ง นอกเหนือจากการสั่นแบบมุมองศาทั่วไป คุณสมบัติ Image Stabilizer ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้แทบไม่ส่งผลใดๆ เมื่อใช้ในการถ่ายภาพโคลสอัพ อย่างไรก็ตาม การถ่ายภาพมาโครสามารถใช้ประโยชน์จากระบบ IS แบบไฮบริดใหม่นี้ได้เนื่องจากระบบนี้ช่วยขยายศักยภาพในการถ่ายภาพแบบถือด้วยมือได้อย่างชัดเจน สำหรับภาพถ่ายที่ประกอบด้วยตัวแบบต่างๆ เช่น แมลง ซึ่งลำบากต่อการใช้ขาตั้งกล้อง
ตามที่กล่าวไปแล้ว สมรรถนะด้านความละเอียดของเลนส์ที่เปิดตัวใหม่ได้ผ่านการพัฒนาเพื่อให้ได้จำนวนพิกเซลที่สูงขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้ว การทำเช่นนั้นอาจทำให้เลนส์หนักและเทอะทะยิ่งกว่าเดิม เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Canon ดำเนินการพัฒนาการออกแบบให้มีน้ำหนักเบาอย่างมากจนสำเร็จ โดยการนำแมกนีเซียมอัลลอย ซึ่งเป็นวัสดุที่เบาและทนทานมาใช้สร้างเลนส์ซูเปอร์เทเลโฟโต้ที่มีทางยาวโฟกัสยาวกว่า 300 มม. เลนส์รุ่นนี้ได้กวาดรีวิวที่แสดงความพึงพอใจจากบรรดาช่างภาพกีฬา ซึ่งจำเป็นต้องใช้เลนส์เทเลโฟโต้ระดับนี้เป็นประจำ นอกจากคุณภาพของภาพที่สูงแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่นำมาสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเลนส์ EF คือ ความใส่ใจพิจารณาตำแหน่งท่าทางของผู้ใช้อย่างพิถีพิถัน
คุณสมบัติของเลนส์ EF ข้อที่ 2 - ระบบ IS แบบไฮบริด
ระบบ IS แบบไฮบริดแก้ไขการสั่นไหวทั้งในมุมองศาทั่วไปและในแนวดิ่ง
ระบบ IS แบบไฮบริดสามารถแก้ไขการสั่นในแนวดิ่งได้เช่นกัน จึงสามารถนำมาใช้ในการถ่ายภาพมาโครซึ่งไวต่อการสั่นไหวในแนวดิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณสมบัติของเลนส์ EF ข้อที่ 3 - Stepping Motor (STM)
ชนิดเฟือง
ชนิดลีดสกรู
Stepping Motor มีการตอบสนองการเริ่มต้นและสิ้นสุดการถ่ายที่ดีเยี่ยม และทำงานอย่างเงียบเชียบ เพราะมีกลไกที่ไม่ซับซ้อน สะดวกในการถ่ายฉากต่างๆ ที่ไม่ต้องการให้มีเสียงระบบขับเคลื่อน AF อย่างมาก เช่น ระหว่างการถ่ายภาพยนตร์ Stepping Motor มี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดเฟืองและชนิดลีดสกรู แต่ละชนิดเหมาะกับเลนส์ที่มีขนาดและลักษณะเฉพาะต่างกันไป
เลนส์ EF ที่ต้องจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ - EF200-400mm f/4L IS USM Extender 1.4x
ด้วยตัวขยายช่องมองภาพขนาด 1.4 เท่าในตัว เลนส์นี้จึงใช้เป็นเลนส์ 280-560mm f/5.6 ได้ด้วย เทคโนโลยีเลนส์จาก Canon ทั้งหมดถูกนำมาใช้ในการพัฒนาเลนส์ตัวนี้ ทั้งชิ้นเลนส์ฟลูออไรต์และชิ้นเลนส์ UD, Image Stabilizer, USM, SWC และสารเคลือบฟลูออไรต์ และยังเป็นเลนส์ EF ตัวที่ 100 ล้านที่ Canon ทำการผลิตอีกด้วย
ลำดับเวลาการพัฒนาเลนส์ EF - ตอนที่ 3 [มีนาคม 2006 -มิถุนายน 2014]
มีนาคม 2006
เปิดตัว “EF85mm f/1.2L II USM” ซึ่งใช้ EMD (ไดอะแฟรมแม่เหล็กไฟฟ้า) พร้อมการเคลือบและโครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อลดความคลาดเคลื่อนอย่างเหมาะสมที่สุด
พฤษภาคม 2006
เปิดตัว “EF-S17-55mm f/2.8 IS USM” ที่มีคุณภาพภาพถ่ายสูงและเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ขนาดใหญ่ด้วยชิ้นเลนส์แก้ไขความคลาดทรงกลมและชิ้นเลนส์ UD
พฤศจิกายน 2006
เปิดตัว “EF70-200mm f/4L IS USM” ซึ่งเพียบพร้อมด้วยคุณภาพของภาพถ่ายระดับสูงและคุณสมบัติ IS ที่สะดวกแก่การใช้งาน
มกราคม 2007
เปิดตัว “EF50mm f/1.2L USM” เลนส์ความเร็วสูงที่ใช้เลนส์แก้ไขความคลาดทรงกลมที่มีความแม่นยำสูงและเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่เพื่อลดความคลาดเคลื่อนแบบต่างๆ
มีนาคม 2007
เปิดตัว “EF16-35mm f/2.8L II USM” การออกแบบใหม่ที่ใช้ชิ้นเลนส์แก้ไขความคลาดทรงกลางที่มีความแม่นยำสูงสามชิ้นและชิ้นเลนส์ UD สองชิ้น
กันยายน 2007
เปิดตัว “EF-S18-55mm f/3.5-5.6 IS” เลนส์ซูมมาตรฐาน EF-S พื้นฐานที่มีคุณสมบัติ IS ในตัวและ “EF14mm f/2.8L II USM” เลนส์ L มุมกว้างซูเปอร์ไวด์ ซึ่งแก้ไขความบิดเบี้ยวด้วยชิ้นเลนส์แก้ไขความคลาดทรงกลมหล่อแก้วและแก้ไขความคลาดสีในการขยายภาพด้วยชิ้นเลนส์ UD
พฤศจิกายน 2007
เปิดตัว “EF-S55-250mm f/4-5.6 IS” เลนส์ EF-S พื้นฐานที่มีคุณสมบัติ IS ในตัว
เมษายน 2008
เปิดตัว “EF200mm f/2L IS USM” ซึ่งมีคุณสมบัติ IS ในตัวที่มีผลเทียบเท่าประมาณความเร็วชัตเตอร์ 5 สต็อป และให้คุณภาพภาพถ่ายสูงด้วยชิ้นเลนส์ฟลูออไรต์และ UD
ยอดการผลิตรวมของเลนส์ EF แตะระดับ 40 ล้านชิ้น
(EF200mm f/2L IS USM)
EF200mm f/2L IS USM
เปิดตัวเลนส์ “EF28mm f/1.8 USM” ซึ่งใช้ชิ้นเลนส์แก้ความคลาดทรงกลมจำลอง
พฤษภาคม 2008
เปิดตัว “EF800mm f/5.6L IS USM” เลนส์ซูเปอร์เทเลโฟโต้ ซึ่งมีผลการแก้ไขภาพของ IS เทียบเท่าประมาณความเร็วชัตเตอร์ 4 สต็อป และให้ความทนทานในระดับเลนส์สำหรับมืออาชีพ
กันยายน 2008
เปิดตัว “EF-S18-200mm f/3.5-5.6 IS” ซึ่งมีผลการแก้ไขภาพของ IS เทียบเท่าประมาณความเร็วชัตเตอร์ 4 สต็อป และให้คุณภาพภาพถ่ายสูงด้วยชิ้นเลนส์ UD และชิ้นเลนส์แก้ไขความคลาดทรงกลมแบบหล่อแก้วที่มีความแม่นยำสูง
ธันวาคม 2008
«ตัวแรกในโลก»
เปิดตัว “EF24mm f/1.4L II USM” ซึ่งช่วยลดแสงแฟลร์และแสงหลอกด้วยการเคลือบพิเศษ SWC ที่พัฒนาขึ้นใหม่
EF24mm f/1.4L II USM
มิถุนายน 2009
เปิดตัว “TS-E17mm f/4L” และ “TS-E24mm f/3.5L II” เลนส์ทิลต์-ชิฟต์ทั้งสองรุ่นนี้เคลือบด้วยเทคโนโลยี SWC และใช้กลไกการหมุนระบบทิลต์-ชิฟต์และการล็อคตำแหน่งทิลต์
ตุลาคม 2009
เปิดตัว “EF-S15-85mm f/3.5-5.6 IS USM” และ “EF-S18-135mm f/3.5-5.6 IS” ซึ่งใช้ชิ้นเลนส์ UD และชิ้นเลนส์แก้ไขความคลาดทรงกลมแบบหล่อแก้ว
«ตัวแรกในโลก»
เปิดตัว “EF100mm f/2.8L Macro IS USM” เลนส์ตัวแรกที่มี “ระบบ IS แบบไฮบริด” สำหรับแก้ไขการสั่นทั้งในมุมองศาทั่วไปและในแนวดิ่ง
EF100mm f/2.8L Macro IS USM
ธันวาคม 2009
ยอดการผลิตรวมของเลนส์ EF แตะระดับ 50 ล้านชิ้น
(EF100mm f/2.8L Macro IS USM)
มีนาคม 2010
เปิดตัว “EF70-200mm f/2.8L IS II USM” ที่มีผลการแก้ไขภาพของ IS ที่ดียิ่งขึ้น
พฤศจิกายน 2010
เปิดตัว “EF70-300mm f/4-5.6L IS USM” ซึ่งมีช่วงการซูมที่กว้าง
มกราคม 2011
ยอดการผลิตรวมของเลนส์ EF แตะระดับ 60 ล้านชิ้น
(EF70-300mm f/4-5.6L IS USM)
EF70-300mm f/4-5.6L IS USM
มีนาคม 2011
เปิดตัว “EF-S18-55mm f/3.5-5.6 IS II” ซึ่งใช้รูปลักษณ์ที่ดูสวยสง่ายิ่งกว่าเดิม
พฤษภาคม 2011
เปิดตัว “EF500mm f/4L IS II USM” ซึ่งมาในรูปแบบที่มีน้ำหนักเบา พร้อมคุณภาพของภาพถ่ายที่สูงขึ้นด้วยการออกแบบเลนส์ใหม่ที่ใช้ชิ้นเลนส์ฟลูออไรต์ 2 ชิ้น
กรกฎาคม 2011
«ตัวแรกในโลก»
เปิดตัว “EF8-15mm f/4L Fisheye USM” เลนส์สำหรับกล้องฟอร์แมต 35 มม. ตัวแรกที่ครอบคลุมมุมรับภาพแบบวงกลมและแนวทแยงถึง 180 องศา
EF8-15mm f/4L Fisheye USM
เปิดตัว “EF-S55-250mm f/4-5.6 IS II” ซึ่งมาพร้อมกับรูปลักษณ์และการออกแบบที่มีการพัฒนาขึ้นอีก
สิงหาคม 2011
เปิดตัว “EF300mm f/2.8L IS II USM” และ “EF400mm f/2.8L IS II USM” เลนส์ทั้งสองรุ่นนี้เคลือบด้วย SWC และมีโหมด IS 3 โหมด
ตุลาคม 2011
ยอดการผลิตรวมของเลนส์ EF แตะระดับ 70 ล้านชิ้น
(EF8-15mm f/4L Fisheye USM)
พฤษภาคม 2012
เปิดตัว “EF600mm f/4L IS II USM” ด้วยการพัฒนาคุณภาพของภาพถ่ายและการออกแบบที่มีน้ำหนักเบา
พฤษภาคม 2012
เปิดตัว “EF600mm f/4L IS II USM” ด้วยการพัฒนาคุณภาพของภาพถ่ายและการออกแบบที่มีน้ำหนักเบา
มิถุนายน 2012
เปิดตัว “EF-S18-135mm f/3.5-5.6 IS STM” ซึ่งใช้ Stepping Motor (STM) ที่มีประสิทธิภาพการทำงานของ AF ระหว่างการถ่ายภาพยนตร์ที่ได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น และ “EF40mm f/2.8 STM” เลนส์แพนเค้ก เลนส์ EF ที่บางและเบาที่สุด
«ตัวแรกในโลก»
เปิดตัว “EF24mm f/2.8 IS USM” และ “EF28mm f/2.8 IS USM” ซึ่งเป็นเลนส์เดี่ยวมุมกว้างตัวแรกที่มีคุณสมบัติ IS
EF24mm f/2.8 IS USM
EF28mm f/2.8 IS USM
มกราคม 2011
ยอดการผลิตรวมของเลนส์ EF แตะระดับ 80 ล้านชิ้น
(EF-S18-135mm f/3.5-5.6 IS STM)
EF-S18-135mm f/3.5-5.6 IS STM
กันยายน 2012
เปิดตัว “EF24-70mm f/2.8L II USM” ซึ่งใช้การเคลือบฟลูออไรต์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันน้ำมันและน้ำที่ดียิ่งขึ้น และ “EF-M22mm f/2 STM” กับ “EF-M18-55mm f/3.5-5.6 IS STM” ซึ่งเป็นเลนส์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับกล้องมิเรอร์เลส EOS M
ธันวาคม 2012
เปิดตัว “EF24-70mm f/4L IS USM” ซึ่งมีระบบ IS แบบไฮบริดในตัวเพื่อการถ่ายภาพมาโครระดับมืออาชีพ และ “EF35mm f/2 IS USM” ซึ่งให้ภาพถ่ายคุณภาพสูงด้วยการใช้เลนส์แก้ไขความคลาดทรงกลม และผลการแก้ไขภาพของ IS เทียบเท่าประมาณความเร็วชัตเตอร์ 4 สต็อป
เมษายน 2013
เปิดตัว “EF-S18-55mm f/3.5-5.6 IS STM” เลนส์ EF-S พื้นฐานที่มีประสิทธิภาพการทำงานของ AF ระหว่างการถ่ายภาพยนตร์ดียิ่งขึ้น
พฤษภาคม 2013
ยอดการผลิตรวมของเลนส์ EF แตะระดับ 90 ล้านชิ้น
(EF24-70mm f/2.8 II USM)
EF24-70mm f/2.8 II USM
«ตัวแรกในโลก»
เปิดตัว “EF200-400mm f/4L IS USM Extender 1.4x” เลนส์ซูมเทเลโฟโต้ที่มีตัวขยายช่องมองภาพ 1.4 เท่าติดตั้งในตัว
EF200-400mm f/4L IS USM Extender 1.4x
กรกฎาคม 2013
เปิดตัว “EF-M11-22mm f/4-5.6 IS STM” เลนส์ซูมมุมกว้างสำหรับกล้อง EOS M