ค้นหาสิ่งที่คุณต้องการ

หรือค้นหาโดย

หัวข้อ

Article
Article

Article

e-Book
e-Book

e-Book

Video
Video

Video

Campaigns
Campaigns

Campaigns

Architecture
กล้องคอมแพค

กล้องคอมแพค

Architecture
DSLRs

DSLRs

Architecture
การถ่ายวีดิโอ

การถ่ายวีดิโอ

Architecture
ภาพดาราศาสตร์

ภาพดาราศาสตร์

Architecture
กล้องมิลเลอร์เลส

กล้องมิลเลอร์เลส

Architecture
ภาพสถาปัตยกรรม

ภาพสถาปัตยกรรม

Architecture
เทคโนโลยีของแคนนอน

เทคโนโลยีของแคนนอน

Architecture
การถ่ายภาพในขณะที่มีแสงน้อย

การถ่ายภาพในขณะที่มีแสงน้อย

Architecture
การสัมภาษณ์ช่างภาพ

การสัมภาษณ์ช่างภาพ

Architecture
ภาพวิวทิวทัศน์

ภาพวิวทิวทัศน์

Architecture
การถ่ายภาพมาโคร

การถ่ายภาพมาโคร

Architecture
การถ่ายภาพกีฬา

การถ่ายภาพกีฬา

Architecture
การถ่ายภาพท่องเที่ยว

การถ่ายภาพท่องเที่ยว

Architecture
การถ่ายภาพใต้น้ำ

การถ่ายภาพใต้น้ำ

Architecture
แนวคิดการถ่ายภาพและการประยุกต์ใช้

แนวคิดการถ่ายภาพและการประยุกต์ใช้

Architecture
การถ่ายภาพสตรีท

การถ่ายภาพสตรีท

Architecture
กล้องมิเรอร์เลสแบบฟูลเฟรม

กล้องมิเรอร์เลสแบบฟูลเฟรม

Architecture
เลนส์และอุปกรณ์เสริม

เลนส์และอุปกรณ์เสริม

Architecture
Nature & Wildlife Photography

Nature & Wildlife Photography

Architecture
การถ่ายภาพพอร์ตเทรต

การถ่ายภาพพอร์ตเทรต

Architecture
การถ่ายภาพกลางคืน

การถ่ายภาพกลางคืน

Architecture
การถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง

การถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง

Architecture
โซลูชั่นการพิมพ์

โซลูชั่นการพิมพ์

Architecture
รีวิวผลิตภัณฑ์

รีวิวผลิตภัณฑ์

Architecture
การถ่ายภาพงานแต่งงาน

การถ่ายภาพงานแต่งงาน

ผลิตภัณฑ์ >> ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด

[ตอนที่ 2] ยุคแห่งการเติบโต – กำเนิดยุคแห่งดิจิตอล

2014-08-14
0
2.03 k
ในบทความนี้:

ในเดือนเมษายน 2014 ยอดการผลิตเลนส์ EF จาก Canon มียอดทะลุสถิติ 100 ล้านชิ้น ระบบเมาท์เลนส์ใหม่ชนะใจช่างภาพด้วยระบบควบคุมเชิงกลไกที่แตกต่างจากเมาท์เลนส์ FD แบบเดิมได้อย่างไร บทความตอนที่ 2 นี้จะเล่าถึงความประวัติการเปลี่ยนแปลงพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น (เรื่องโดย: Kazunori Kawada)

หน้า: 1 2

 

ระยะที่ 2: ยุคแห่งการเติบโต - กำเนิดยุคแห่งดิจิตอล

ในเดือนเมษายน 1991 เราเปิดตัวเลนส์ TS-E 3 รุ่น (24mm, 45mm และ 90mm) สู่ท้องตลาด โดยทุกรุ่นมีกลไกการชิฟต์เพิ่มเติมจากระบบควบคุมทิลต์ อย่างไรก็ตาม ก้าวใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการนำระบบควบคุมรูรับแสงอัตโนมัติสำหรับเลนส์ทิลต์-ชิฟต์มาใช้เป็นครั้งแรก สำหรับเลนส์ทิลต์-ชิฟต์ซึ่งสามารถเบนแกนออพติคอลได้ ในอดีตถือเป็นเรื่องยากที่จะย้ายกลไกระบบรูรับแสงออกจากจากบอดี้กล้อง เวลานั้น วิธีเดิมที่ใช้กันอยู่คือการจับโฟกัสที่รูรับแสงสูงสุดและทำการปรับทิลต์-ชิฟต์ที่จำเป็นก่อนจะลดขนาดรูรับแสงด้วยตนเองให้ได้ค่าตามที่ต้องการ แต่กลับกัน ในปัจจุบัน เลนส์ TS-E ใช้ “ไดอะแฟรมแม่เหล็กไฟฟ้า (EMD)” ซึ่งใช้แอคทูเอเตอร์บนตัวเลนส์ในการขับเคลื่อนรูรับแสง จึงทำให้สามารถควบคุมรูรับแสงอัตโนมัติได้ไม่ว่าเลนส์จะอยู่ในสภาวะทิลต์หรือชิฟต์ เมื่อจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนค่ารูรับแสงด้วยตนเอง ผมมักจะลืมขั้นตอนนี้ระหว่างการถ่ายภาพ แล้วก็จบลงด้วยภาพถ่ายที่มีแสงสว่างมากจนเกินไป ความผิดพลาดเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเมื่อมีการควบคุมค่ารูรับแสงอัตโนมัติของเลนส์ TS-E ปัญหานี้แก้ไขได้ ด้วยการนำระบบเมาท์ที่ควบคุมด้วยไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบโดยไม่มีการควบคุมเชิงกลไกบนเมาท์เลนส์ตัวนี้เลย แม้ว่าช่างภาพมือใหม่อาจไม่คุ้นเคยกับเลนส์ TS-E และฟังก์ชั่นทิลต์ชิฟต์ แต่สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมากสำหรับช่างภาพมืออาชีพที่มีความถนัดเฉพาะทางในด้านการถ่ายภาพสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน หรือผลิตภัณฑ์ ความพยายามที่จะรวมเลนส์สำหรับตลาดเฉพาะกลุ่มเข้ามาไว้ในสายผลิตภัณฑ์ EF เป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำไมช่างภาพมืออาชีพถึงวางใจในผลิตภัณฑ์ Canon อย่างมาก

คุณสมบัติของเลนส์ EF ข้อที่ 1 - Image Stabilizer (IS)

Canon เป็นรายแรกที่นำ Image Stabilizer สำหรับการใช้งานเพื่อการค้ามาใช้ได้สำเร็จบนเลนส์ SLR แบบถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ ปัจจุบัน กลไกพื้นฐานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยมีเซนเซอร์ไจโรจำนวนหนึ่งที่ใช้ตรวจจับการสั่นไหวของกล้อง ซึ่งจะถูกชดเชยโดยใช้ระบบแก้ไขปัญหาด้านออพติค

ในปี 1995 Canon เปิดตัวเลนส์ “EF75-300mm f/4-5.6 IS USM” เลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้สำหรับกล้อง SLR ตัวแรกของโลกที่มีคุณสมบัติ “Image Stabilizer (IS)” ฟังก์ชั่น IS ตรวจจับการสั่นไหวของกล้องด้วยเซนเซอร์ไจโรและชดเชยการสั่นไหวด้วยการเลื่อนกลุ่มเลนส์สำหรับชุดออพติคแก้ไขที่ให้ผลเทียบเท่ากับความเร็วชัตเตอร์ประมาณสองสต็อป ในครั้งนั้นผู้ใช้ต่างรู้สึกตื่นเต้นกับการปรากฏของคุณสมบัตินี้ที่พวกเขารอคอย เพราะช่วยบรรเทาความยุ่งยากแก่ช่างภาพที่ต้องใช้ขาตั้งกล้องถ่ายภาพในฉากที่มีแสงน้อย นับแต่นั้นมา คุณสมบัติ IS ได้ถูกนำมาใช้กับเลนส์ EF หลากหลายรุ่นที่ออกมาภายหลัง นอกจากเลนส์ IS แล้ว Canon ยังเป็นรายแรกที่นำเอาเลนส์ชนิดต่างๆ ในซีรีย์ EF มาปรับเพื่อใช้สำหรับงานธุรกิจสำเร็จ เช่น เลนส์ที่ผลิตโดยใช้ชิ้นเลนส์แก้วไร้ตะกั่วซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ “เลนส์ DO” ที่มี “ชิ้นเลนส์แบบกระจายแสงหลายชั้น” ซึ่งเอื้อต่อการออกแบบที่มีขนาดเล็กและประสิทธิภาพสูง

เลนส์ EF แห่งยุคประวัติศาสตร์รุ่นที่ 1 - EF75-300mm f/4-5.6 IS USM

 

นี่เป็นเลนส์ตัวแรกที่ผลิตขึ้นโดยมีคุณสมบัติ Image Stabilizer (IS) ซึ่งชดเชยการสั่นไหวของกล้องที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายภาพเทเลโฟโต้ได้อย่างน่าทึ่งด้วยเอฟเฟ็กต์การแก้ไขที่เทียบเท่ากับความเร็วชัตเตอร์ประมาณ 2 สต็อป คุณสมบัตินี้ได้รับการยอมรับจากช่างภาพมืออาชีพและผู้ที่สนใจจำนวนมากเนื่องด้วยความสามารถที่ช่วยลดจำนวนภาพที่ถ่ายเสียลง

 
 

คุณสมบัติของเลนส์ EF ข้อที่ 2 - ชิ้นเลนส์แบบกระจายแสงหลายชั้น (DO)

  1. ชิ้นเลนส์แบบกระจายแสงชั้นเดียว, เกรตติ้งเลี้ยวเบน (Diffraction Grating)
  2. เลนส์ DO 3 ชั้น
  3. แสงที่ตกกระทบ (แสงสีขาว)
  4. เกิดแสงที่กระจายมากจนเกินไป
  5. ตอนนี้แสงตกกระทบเกือบทั้งหมดเป็นประโยชน์กับการถ่ายภาพ
  6. แสงกระจายออกเป็นประโยชน์กับการถ่ายภาพ
  7. แสงกระจายออกทำให้เกิดแสงแฟลร์

ชิ้นเลนส์ DO สามารถควบคุมทางเดินแสงโดยใช้ปรากฏการณ์ของการกระจายแสง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแสงส่องผ่านขอบวัตถุที่กั้นแสงไว้
การออกแบบที่กะทัดรัดและมีประสิทธิภาพสูงเป็นไปได้ด้วยลักษณะเฉพาะของเลนส์ฟลูออไรต์และเลนส์แก้ความคลาดทรงกลมที่ผสานรวมเป็นชิ้นเลนส์เดียว

เลนส์ EF แห่งยุคประวัติศาสตร์รุ่นที่ 2 - EF400mm f/4 DO IS USM

 

ด้วยการนำเอาชิ้นเลนส์ DO มาใช้ Canon จึงประสบความสำเร็จในการพัฒนาเลนส์ที่มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา เปี่ยมด้วยคุณลักษณะที่สร้างความน่าทึ่งด้วยรูรับแสงแคบขนาด f/4 และทางยาวโฟกัสเทเลโฟโต้ 400 มม. เลนส์ EF400mm f/4 DO IS USM เป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อต้องการความคล่องตัวอย่างในการถ่ายภาพกีฬา คุณสมบัติ IS ยังมีไว้เพื่อช่วยให้การถ่ายภาพแบบถือด้วยมือง่ายดายขึ้น

 
 
 

ลำดับเวลาการพัฒนาเลนส์ EF - ตอนที่ 2 [สิงหาคม 1995 -มกราคม 2006]

สิงหาคม 1995

ยอดการผลิตรวมของเลนส์ EF แตะระดับ 10 ล้านชิ้น

เปิดตัวเลนส์ “EF28-80mm f/3.5-5.6 III USM” ซึ่งมาพร้อมกับการเคลือบผิวเลนส์แบบใหม่

 
 
 
กันยายน 1995
 

«ตัวแรกในโลก»
เปิดตัวเลนส์ “EF75-300mm f/4-5.6 IS USM” เลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้สำหรับกล้อง SLR ฟอร์แมตฟิล์ม 35 มม. ตัวแรกที่มีคุณสมบัติ Image Stabilizer

 

EF75-300mm f/4-5.6 IS USM

 

เปิดตัวเลนส์ “EF28mm f/1.8 USM” ซึ่งใช้ชิ้นเลนส์แก้ความคลาดทรงกลมจำลอง

 
 
 
มีนาคม 1996

เปิดตัวเลนส์ “EF400mm f/2.8L II USM” โดยมีการออกแบบออพติคอลใหม่ที่ใช้ชิ้นเลนส์ฟลูออไรต์และชิ้นเลนส์ UD ในการแก้ไขความคลาดสีที่อาจหลงเหลืออยู่

 
 
 
เมษายน 1996

เปิดตัวเลนส์ “EF180mm f/3.5L Macro USM” ซึ่งมีระบบชิ้นเลนส์ลอยภายใน เลนส์ “EF17-35mm f/2.8L USM” ที่ใช้ชิ้นเลนส์แก้ความคลาดทรงกลม และ “EF135mm f/2L USM” ที่ให้ความสว่างมากที่สุดในกลุ่มเลนส์ระดับเดียวกัน

 
 
 
กันยายน 1996

เปิดตัวเลนส์ “EF28-80mm f/3.5-5.6 IV USM” แบบไม่มีสารตะกั่ว และ “EF24-85mm f/3.5-4.5 USM” ซึ่งนำเอาระบบซูมแบบขับเคลื่อนชิ้นเลนส์ทีละหลายกลุ่มและชิ้นเลนส์แก้ความคลาดทรงกลมจำลองมาใช้

 
 
 
มีนาคม 1997

เปิดตัวเลนส์ “EF300mm f/4L IS USM” ที่ใช้ชิ้นเลนส์ UD เป็นชิ้นเลนส์ลำดับที่ 2 และ 5

 
 
 
ธันวาคม 1997

เปิดตัวเลนส์ “EF24mm f/1.4L USM” เลนส์ EF ตัวแรกที่ใช้ชิ้นเลนส์แก้ความคลาดทรงกลมแบบเจียรและขัดผิวและชิ้นเลนส์ UD ทั้งนี้ ยังเป็นเลนส์ชนิด L แบบไม่มีสารตะกั่วตัวแรกอีกด้วย

 
 
 
กุมภาพันธ์ 1998

เปิดตัวเลนส์ “EF28-135mm f/3.5-5.6 IS USM” เลนส์คอมแพคที่มีชุดทำงานระบบ IS ปรับปรุงใหม่และระบบซูมแบบขับเคลื่อนชิ้นเลนส์ทีละหลายกลุ่ม

 
 
 
มีนาคม 1998

เปิดตัวเลนส์ “EF22-55mm f/4-5.6 USM” ซึ่งใช้ชิ้นเลนส์แก้ความคลาดทรงกลมเพื่อให้ได้ขนาดเลนส์ที่เล็กกะทัดรัด และ “EF55-200mm f/4.5-5.6 USM” ที่ทำให้การโฟกัสอัตโนมัติไร้เสียงและมีความเร็วสูงโดยการใช้ Micro USM

 
 
 
พฤศจิกายน 1998

เปิดตัวเลนส์ “EF100-400mm f/4.5-5.6L IS USM” เลนส์ L ตัวแรกที่มีคุณสมบัติ IS และชิ้นเลนส์ฟลูออไรต์และชิ้นเลนส์ Super UD

 
 
 
ธันวาคม 1998

เปิดตัวเลนส์ “EF35mm f/1.4L USM” ที่ใช้ระบบการโฟกัสด้านหลังด้วยชิ้นเลนส์แก้ความคลาดทรงกลมแบบเจียรและขัดผิว

 
 
 
เมษายน 1999

เปิดตัวเลนส์ “EF28-80mm f/3.5-5.6 V USM” และ “EF75-300mm f/4-5.6 III USM” ซึ่งมีการออกแบบใหม่ที่คุณภาพสูงและไม่มีสารตะกั่ว

 
 
 
กรกฎาคม 1999

เปิดตัวเลนส์ “EF300mm f/2.8L IS USM” และ “EF500mm f/4L IS USM” แม่แบบของเลนส์ที่เปลี่ยนไปเพื่อที่จะรวมเอาคุณสมบัติ IS กับฟังก์ชั่น AF ความเร็วสูงและการหยุด AF ไว้ด้วยกัน

 
 
 
กันยายน 1999

เปิดตัวเลนส์ “EF70-200mm f/4L USM” ที่เพียบพร้อมด้วยคุณภาพของภาพถ่ายระดับสูงด้วยการใช้ชิ้นเลนส์ฟลูออไรต์และชิ้นเลนส์ UD “MP-E65mm f/2.8 1-5x Macro” ซึ่งรองรับการถ่ายภาพมาโครตั้งแต่ระดับขนาดจริงไปจนขนาดขยายขึ้นถึง 5 เท่า นอกจากนี้ ยังมีเลนส์ “EF400mm f/2.8L IS USM” และ “EF600mm f/4L IS USM” เลนส์พร้อมระบบ IS สองรุ่นที่เอื้อให้ AF ที่ทำงานด้วยความเร็วสูง

 
 
 
มีนาคม 2000

เปิดตัวเลนส์ “EF100mm f/2.8 Macro USM” ซึ่งประสบความเร็จในการทำงานของระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบเงียบด้วย Ring USM และเป็นเลนส์มาโครเทเลโฟโต้ระยะกลางตัวแรกที่มีระบบโฟกัสภายใน

 
 
 
กันยายน 2000

เปิดตัวเลนส์ “EF28-90mm f/4-5.6 USM” ซึ่งใช้การออกแบบใหม่สำหรับช่วงทางยาวโฟกัสฝั่งเทเลโฟโต้ที่กว้างขึ้นและชิ้นเลนส์แก้ไขความคลาดทรงกลมเพื่อคุณภาพของภาพถ่ายที่สูงยิ่งขึ้น พร้อมกับเลนส์ “EF28-200mm f/3.5-5.6 USM” ซึ่งให้ภาพถ่ายคุณภาพสูงได้ด้วยการใช้ชิ้นเลนส์แก้ความคลาดทรงกลม 2 ชิ้นขณะที่มีทางยาวโฟกัสฝั่งเทเลโฟโต้ที่ยาวมากขึ้น

 
 
 
ตุลาคม 2000

เปิดตัวเลนส์ “EF28-105mm f/3.5-4.5 II USM” ซึ่งสนับสนุน AF ความเร็วสูงและ MF แบบ Full-time ที่มีชุดกลไกที่เทียบเท่ากับรุ่นก่อนหน้า

 
 
 
กุมภาพันธ์ 2001

ยอดการผลิตรวมของเลนส์ EF แตะระดับ 20 ล้านชิ้น

 
 
 
กันยายน 2001

เปิดตัวเลนส์ “EF70-200mm f/2.8L IS USM” เลนส์ซูมเทเลโฟโต้ที่มีคุณสมบัติ IS

 
 
 
ธันวาคม 2001

เปิดตัวเลนส์ “EF16-35mm f/2.8L USM” เลนส์ต้านทานฝุ่นละอองและกันน้ำพร้อมมุมรับภาพที่กว้างขึ้น

«ตัวแรกในโลก»
เปิดตัวเลนส์ “EF400mm f/4 DO IS USM” เลนส์ขนาดเล็กและน้ำหนักเบาที่ใช้ชิ้นเลนส์แบบกระจายแสงหลายชั้น (DO) อันเป็นส่วนหนึ่งของระบบออพติคอลในเลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้สำหรับกล้อง SLR ฟอร์แมตฟิล์ม 35 มม.

 

EF400mm f/4 DO IS USM

 
 
 
 
กันยายน 2002

เปิดตัวเลนส์ “EF28-105mm f/4-5.6 USM” ซึ่งมี Micro USM II ที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ เลนส์ “EF28-90mm f/4-5.6 II USM” อวดศักยภาพความเร็ว AF ที่สูงที่สุดเมื่อใช้กับกล้อง EOS 300V และเลนส์ “EF90-300mm f/4.5-5.6 USM” ที่ใช้การออกแบบรูรับแสงรูปทรงกลม

 
 
 
พฤศจิกายน 2002

เปิดตัวเลนส์ “EF24-70mm f/2.8L USM” ซึ่งใช้การออกแบบใหม่เพื่อให้ได้มุมรับภาพที่กว้างขึ้น รวมถึงชิ้นเลนส์แก้ไขความคลาดทรงกลมและชิ้นเลนส์ UD เพื่อคุณภาพของภาพถ่ายที่ดีกว่า

 
 
 
พฤษภาคม 2003

เปิดตัวเลนส์ “EF17-40mm f/4L USM” ซึ่งมีระยะการซูมกว้างกว่าและมีชิ้นเลนส์แก้ความคลาดทรงกลมและชิ้นเลนส์ Super UD เพื่อคุณภาพของภาพถ่ายที่สูงกว่า

 
 
 
กันยายน 2003

เปิดตัวเลนส์ “EF28-90mm f/4-5.6 II” และ “EF90-300mm f/4.5-5.6” ที่ให้ AF ความเร็วสูงได้เพราะมอเตอร์ DC ขนาดเล็กจิ๋วและ “EF55-200mm f/4.5-5.6 II USM” ที่ช่วยลดแสงแฟลร์และแสงหลอกด้วยการเคลือบผิวอย่างเหมาะสม

 
 
 
มิถุนายน 2004

เปิดตัวเลนส์ “EF28-300mm f/3.5-5.6L IS USM” เลนส์ซูเปอร์ซูมที่มีชุดทำงานระบบ IS และช่วงการซูมที่มากขึ้นในฝั่งมุมกว้างและเลนส์ “EF70-300mm f/4.5-5.6 DO IS USM” ซึ่งมีการออกแบบที่เล็กกะทัดรัด ช่วยลดแสงแฟลร์และแสงหลอกด้วยการใช้ชิ้นเลนส์แบบกระจายแสงหลายชั้น

 
 
 
กันยายน 2004

เปิดตัวเลนส์ “EF28-90mm f/4-5.6 III” สำหรับกล้อง EOS 300X และ EOS 3000V “EF-S17-85mm f/4-5.6 IS USM” เลนส์ EF ตัวแรกที่ใช้ชิ้นเลนส์แก้ความคลาดทรงกลมแบบหล่อแก้วซึ่งมีพื้นผิวโค้งทั้งสองด้าน และยังมีเลนส์ “EF-S 18-55mm f/3.5-5.6 USM” เลนส์ EF-S ตัวแรก รวมถึงชุดเลนส์คิทของกล้อง EOS 300D ที่สามารถหาซื้อแยกต่างหากได้

 
 
 
พฤศจิกายน 2004

เปิดตัวเลนส์ “EF-S10-22mm f/3.5-4.5 USM” ซึ่งใช้เลนส์แก้ความคลาดทรงกลมและชิ้นเลนส์ Super UD

 
 
 
มีนาคม 2005

เปิดตัวเลนส์ “EF-S18-55mm f/3.5-5.6 II USM” และ “EF-S60mm f/2.8 Macro USM

 
 
 
กันยายน 2005

เปิดตัวเลนส์ “EF70-300mm f/4-5.6 IS USM” และ “EF24-105mm f/4L IS USM

 
 
 
มกราคม 2006
 

ยอดการผลิตรวมของเลนส์ EF แตะระดับ 30 ล้านชิ้น
(EF70-200mm f/2.8L IS USM)

 

EF70-200mm f/2.8L IS USM

 
 
แบ่งปันภาพถ่ายของคุณใน My Canon Story แล้วร่วมลุ้นโอกาสเผยแพร่ผลงานบนโซเชียลมีเดียของเรา