ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพิมพ์ภาพแบบวิจิตรศิลป์ - ตอนที่ 4: แสงส่งผลต่อสีสันอย่างไร
ในส่วนของซีรีย์ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพิมพ์ภาพแบบวิจิตรศิลป์นี้ เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับสภาพแสงที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการประเมินสีของหน้าจอและการพิมพ์ภาพได้อย่างถูกต้อง
ความสำคัญของแสงสว่างโดยรอบที่มีการควบคุม
การประเมินและการตีความสีของเราขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดแสงที่เราใช้เป็นอย่างมาก ในสภาพแวดล้อมที่เรากำหนดอาจมีแหล่งกำเนิดแสงต่างๆ มากมาย ซึ่งแต่ละแหล่งจะมีลักษณะของสีเฉพาะตัวที่ต่างกันออกไป ลองนึกภาพห้องที่สว่างไสวด้วยแสงจากหน้าต่างและหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ การรับรู้สีของคุณอาจต่างออกไปอย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่คุณวางหน้าจอหรืองานพิมพ์ เช่น ถัดจากหน้าต่างหรือภายใต้แสงไฟฟลูออเรสเซนต์ นี่เป็นเพราะความแตกต่างของอุณหภูมิสีระหว่างแสงโทนอุ่นกับแสงโทนเย็น ซึ่งเปลี่ยนการรับรู้สีของเรา
โทนเย็น
โทนอุ่น
อุณหภูมิสีคืออะไร
อุณหภูมิสีคือวิธีการอธิบายลักษณะสีที่มาจากแสง แสงอาจเป็นโทนสีอุ่น (โทนสีเหลือง) หรือเย็น (โทนสีฟ้า) และมีหน่วยวัดระดับเป็นเคลวิน (K) ระบบการวัดอุณหภูมิสีเป็นเคลวินนี้จะติดตามการเปลี่ยนแปลงของสีที่มาจากแสงของวัตถุสีดำขณะเปล่งแสงออกมา เช่น ไส้หลอดไฟที่ร้อนขึ้น เมื่อไส้หลอดร้อนขึ้นจะเปล่งสีสัน และแปรเปลี่ยนจากสีแดงเข้มไปเป็นสีส้ม สีเหลือง และสีขาวในท้ายที่สุด แหล่งกำเนิดแสงที่เปล่งแสงสว่างในลักษณะนี้เราเรียกว่า "วัตถุที่ให้ความร้อนแบบหลอดไส้" ซึ่งจะแผ่พลังงานแสงในทุกความยาวคลื่นของสเปกตรัม และแสดงสีทุกสีในฉากเท่าๆ กัน
ดัชนีการเปล่งสีคืออะไร
ดัชนีการเปล่งสี (CRI) จะจัดอันดับความสามารถของแหล่งกำเนิดแสงเพื่อระบุสี และวัดที่ค่าตั้งแต่ 1 - 100 ในการวัดนี้ หากสีมีค่าเท่ากับ 1 แสดงว่าเป็นแสงที่มีความยาวคลื่นเดียว และหากค่าเท่ากับ 100 แสดงว่าเป็นแสงแดดตามธรรมชาติ ระบบการวัดนี้จะทำการวัดคุณภาพแสงที่มาจากแหล่งกำเนิดแสง ดังนั้น หลอดโซเดียมตามถนนจึงให้แสงปริมาณมาก แม้ว่า CRI จะต่ำก็ตาม (ประมาณ 40) เนื่องจากไม่สามารถแสดงสีของวัตถุที่แสงส่องกระทบได้อย่างถูกต้อง ในทางตรงกันข้าม ค่า CRI ของหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ดีอาจสูงกว่า 95 นั่นหมายความว่าหลอดไฟชนิดนี้สามารถปล่อยแสงที่มีคุณภาพและถ่ายทอดสีได้อย่างถูกต้องแม่นยำ นอกจากนี้ ค่าดัชนี CRI ยังเรียกว่าค่า Ra หรือ CIE Ra ได้อีกด้วย ต่อไปนี้คือชื่อตามมาตรฐานสากลของค่า CRI
CRI=51
CRI=80
CRI=90
การควบคุมแสงสว่างโดยรอบ
เมื่อเรามีความรู้เกี่ยวกับอุณหภูมิสีและดัชนีการเปล่งสีแล้ว ตอนนี้เราจะมาเลือกแหล่งกำเนิดแสงที่ทำให้สภาพแวดล้อมมีแสงสว่างโดยรอบที่ดีที่สุดสำหรับการพิมพ์ภาพกัน
การขจัดแสงแดดออกจากห้องของคุณ
อุณหภูมิสีของแสงธรรมชาติที่มาจากหน้าต่างจะเปลี่ยนแปลงไปในระหว่างวัน ซึ่งอาจมีตั้งแต่ 4000K ที่เป็นโทนสีอบอุ่นในช่วงพระอาทิตย์ตก/พระอาทิตย์ขึ้น ไปจนถึง 8000K ที่เป็นโทนสีเย็นในวันที่ฟ้ามืดครื้ม ดังนั้น คุณจึงควรทำงานที่เน้นสีสันเป็นพิเศษในห้องซึ่งไม่ได้รับอิทธิผลจากการเปลี่ยนแปลงของแสงแดด
ไฟบนเพดาน
สิ่งสำคัญคือควรตรวจดูให้แน่ใจว่าแหล่งกำเนิดแสงที่สว่างที่สุดในห้อง เช่น ไฟบนเพดาน มีอุณหภูมิสีเท่ากับจอภาพของคุณ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5000K และมีค่า CRI ที่ 95 วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ได้อุณหภูมิสีเท่ากันคือ การใช้แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ให้แสงครบช่วง เช่น PHILIPS TL 950 - T8 เนื่องจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดนี้มีอุณหภูมิสีที่ 5000k และมีค่า CRI สูงมากที่ 98 หลอดฟลูออเรสเซนต์หนึ่งคู่จะให้ความสว่างประมาณ 200 ลักซ์ในที่ทำงาน (จากความสูงเพดาน 2.5 เมตร) ซึ่งให้คุณภาพแสงที่ดีสำหรับใช้ตรวจสอบสีสันทั้งบนจอภาพและในงานพิมพ์ ลักซ์ คือ หน่วยที่ใช้วัดความสว่าง และมีความสว่างเท่ากับเทียนหนึ่งเล่มโดยประมาณ ดังนั้น 200 ลักซ์ จึงมีค่าเท่ากับกำลังความสว่างของเทียน 200 เล่ม
การปรับความสว่างของจอภาพ
ความสว่างของจอภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสีและการนำเสนอโทนสีที่ถูกต้องแม่นยำ ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังมองภาพทิวทัศน์ที่มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของก้อนเมฆทั้งในส่วนสว่างและส่วนที่เป็นเงา จอภาพที่มีแสงสลัวหรือสว่างจนเกินไปจะไม่สามารถแสดงช่วงที่มีโทนน้ำหนักกลางได้อย่างถูกต้อง จึงควรปรับตั้งค่าความสว่างของจอภาพที่เหมาะสมที่แกมมา 2.2 หากภาพที่แสดงดูมืดหรือสว่างเกินไป ให้ตรวจสอบค่าแกมมาที่แท็บการตั้งค่าการแสดงผลบนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows หรือใต้ไอคอนการแสดงผลในส่วนปรับแต่งการใช้งานของคอมพิวเตอร์ Mac OS
ไฟตั้งโต๊ะ
เมื่อคุณนำภาพพิมพ์แบบวิจิตรศิลป์กับอุปกรณ์แสดงผลคอมพิวเตอร์ของคุณมาเปรียบเทียบข้างๆ กัน คุณจะต้องใช้ไฟตั้งโต๊ะที่สามารถให้แสงครบช่วงที่ 5000K ได้ ระดับความสว่างที่เหมาะสมสำหรับพื้นผิวของงานพิมพ์ควรอยู่ที่ประมาณ 650 ลักซ์ เพื่อให้ตรงกับความสว่างของจอคอมพิวเตอร์ ช่างภาพมืออาชีพบางคนใช้โคมไฟ เช่น Eizo Z80 Pro ในงานนี้ แต่มีอีกหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้งานได้
สีของกำแพง
เมื่อคุณต้องแก้ไขโทนสีในงาน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ห้องที่ทาสีบนกำแพงหรือติดวอลเปเปอร์ เพราะพื้นผิวขนาดใหญ่ที่มีสีสันเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการรับรู้สีสัน สีที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับกำแพงและพื้นผิวต่างๆ คือสีเทากลางๆ หากคุณกำลังใช้วอลเปเปอร์สีขาว โปรดเลือกชนิดที่ไม่มีสารเรืองแสง เพราะจะเป็นการเพิ่มสีในโทนเย็น ซึ่งทำให้มองเห็นสีที่ถูกต้องได้ยากขึ้น
แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดเมื่อคุณอยู่ในที่ทำงาน
1. จัดตำแหน่งที่ทำงานโดยให้ไฟบนเพดานอยู่ด้านหลังเก้าอี้ของคุณ เพื่อป้องกันไม่ให้แสงโดยตรงส่องเข้ามาที่ตาของคุณ วิธีนี้จะช่วยลดอาการสายตาล้าและเพิ่มความสามารถในการรับรู้สี
2. สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ต้องลดแสงสะท้อนของแบ็คกราวด์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการรับรู้สีบนภาพที่แสดง เราสามารถขจัดแสงสะท้อนของแบ็คกราวด์ได้ง่ายๆ ด้วยการแขวนฉากหลังขนาดใหญ่ที่มีโทนสีเทาไว้ด้านหลังที่นั่งของคุณ
3. สวมเสื้อผ้าที่มีโทนสีกลางๆ เช่น เสื้อสีเทาหรือขาวนวล เมื่อทำงานกับภาพสี ควรหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่มีโทนสีสว่าง เนื่องจากอาจทำให้เกิดแสงสะท้อนที่ไม่พึงประสงค์บนจอภาพของคุณ และยากที่จะประเมินสีได้แม่นยำ
4. หลีกเลี่ยงการใช้ภาพพื้นหลังที่สีสันต่างๆ สำหรับหน้าจอเดสก์ท็อปในคอมพิวเตอร์ เนื่องจากสีสันที่สดใสอาจทำให้การรับรู้สีผิดเพี้ยนไป วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ภาพพื้นหลังสีเทาสำหรับหน้าจอเดสก์ท็อปของคุณ
5. หลีกเลี่ยงการใส่วัตถุที่มีสีสว่าง เช่น ตุ๊กตาและของเล่น ไว้ในเส้นนำสายตาของคุณ เนื่องจากอาจส่งผลต่อการรับรู้สี
6. เพื่อลดผลกระทบจากแสงสว่างโดยรอบต่อความสามารถในการแสดงสีและโทนสีของจอภาพ เราแนะนำให้วางที่บังแสงไว้รอบจอภาพ ที่บังแสงควรลึกประมาณ 4 ถึง 6 ซม. เพื่อป้องกันแสงโดยรอบที่หักเหเข้ามาได้อย่างเพียงพอ
ในบทความต่อไป เราจะพูดคุยกันต่อเกี่ยวกับการรับรู้สีและการจัดการสี
รับข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการถ่ายภาพ รวมถึงเคล็ดลับและกลเม็ดต่างๆ
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนชาว SNAPSHOT
ลงทะเบียนตอนนี้!