EOS 5D Mark IV มีการพัฒนาในหลายๆ ด้านจากรุ่นก่อนหน้าคือ EOS 5D Mark III ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก อาทิเช่น การพัฒนาระบบ AF ที่ช่วยให้กล้องมีประสิทธิภาพแทบจะเทียบเคียงได้กับ EOS-1D X Mark II รุ่นเรือธง ได้แก่ รูปแบบการบันทึกแบบ Dual Pixel RAW, Digital Lens Optimizer ภายในกล้อง, รูปแบบภาพ "เน้นรายละเอียด" ที่เพิ่มเข้ามา, การเชื่อมต่อ Wi-Fi/NFC และอื่นๆ อ่านต่อเพื่อทราบข้อมูลเพิ่มเติม (เรื่องโดย Takeshi Ohura)
ประสิทธิภาพการทำงานของ AF เทียบเคียงได้กับรุ่นเรือธง
จุดสำคัญที่น่าสนใจจุดหนึ่งเกี่ยวกับ EOS 5D Mark IV รุ่นใหม่นี้คือพัฒนาการของระบบ AF เช่นเดียวกับ EOS-1D X Mark II กล้องรุ่นนี้นำเอา AF แบบตาข่ายความหนาแน่นสูง 61 จุดมาใช้ ซึ่งแม้ว่าจำนวนจุด AF จะยังคงเท่ากับในกล้อง EOS 5D Mark III แต่ EOS 5D Mark IV สามารถจับ AF บนตัวแบบที่เคลื่อนไหวได้แม่นยำกว่า
คุณสามารถเลือกได้ว่าจะแสดงสถานะของฟังก์ชัน AF ภายในหรือภายนอกระยะชัดลึกของช่องมองภาพ โดยการแสดงสถานะยังคงเหมือนเดิมหากคุณเลือกแสดงข้อมูลภายนอกช่องมองภาพ
จุด AF ทั้งหมดออกแบบมาให้ทำงานที่ค่า f/8 จึงเพิ่มความเป็นไปได้อย่างมากที่ AF จะยังคงทำงานได้แม้ว่าจะติดตัวแปลงเลนส์ 2x เข้ากับเลนส์ซูเปอร์เทเลโฟโต้ก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาประสิทธิภาพความสว่างต่ำเพื่อให้สามารถจัดการกับสภาพแสงที่มืดพอๆ กับค่า EV-3 ได้ ในส่วนความสามารถของ AF ในการจับภาพตัวแบบนั้นทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีการพัฒนาคุณสมบัติต่างๆ เช่น การตรวจจับใบหน้าด้วย EOS iTR AF และอัลกอริทึมการติดตามตัวแบบขึ้นอย่างมาก
EOS iTR AF ช่วยให้คุณสามารถกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ให้กับ EOS 5D Mark IV เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลของตัวแบบได้โดยอัตโนมัติ เมื่อคุณเลือก [ON (ระบุใบหน้า)] กล้อง EOS 5D Mark IV จะเลือกจุด AF สำหรับการโฟกัสโดยอัตโนมัติ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลใบหน้านอกเหนือจาก AF และข้อมูลสีของตัวแบบ
มีการนำ AI Servo AF III มาใช้ในฟังก์ชัน AF ต่อเนื่องเพื่อเสริมความแม่นยำในการคาดการณ์ฺล่วงหน้า แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติที่เมื่อเราใช้ระบบ AF แบบตรวจจับ Phase Difference โดยอิงจากระยะห่างระหว่างตัวแบบกับกล้อง ความแม่นยำของ AF อาจลดลงเล็กน้อย แต่ปัญหานี้ไม่ใช่สิ่งที่สร้างความกังวลให้กับผู้ใช้กล้อง EOS 5D Mark IV แต่อย่างใด
EOS 5D Mark IV/ EF600mm f/4L IS II USM + 1.4x III/ FL: 840 มม./ Manual exposure (f/5.6, 1/2000 วินาที)/ ISO 200/ โหมด AF: AI Servo AF/ WB: Auto (ตามบรรยากาศ)
ด้วย AI Servo AF III กล้อง EOS 5D Mark IV จึงสามารถจับโฟกัสนกป่าที่กำลังโผบินได้
รูปแบบการบันทึก Dual Pixel RAW เพื่อทางเลือกในการปรับแต่งภาพที่มากขึ้น
EOS 5D Mark IV รองรับระบบ AF แบบตรวจจับ Phase Difference ตามระนาบภาพ (Dual Pixel CMOS AF) ระหว่างการถ่ายภาพแบบ Live View โดยเทคโนโลยี AF นี้จะใช้โฟโตไดโอดสองตัวที่สำหรับทุกๆ พิกเซลบนเซนเซอร์ภาพ โดยนำสัญญาณภาพที่ได้จากโฟโตไดโอดแต่ละตัวมาใช้สำหรับระบบ AF แบบตรวจจับ Phase Difference การทำงานของ AF ระหว่างการถ่ายภาพแบบ Live View ใน EOS 5D Mark IV จึงราบรื่นอย่างมาก
หน้าจอการตั้งค่า DPRAW
Dual Pixel RAW (DPRAW) เป็นคุณสมบัติที่ใช้ประโยชน์จากกลไกลของ Dual Pixel CMOS AF แม้ว่าคุณสมบัติ DPRAW จะให้คุณสามารถบันทึกภาพในรูปแบบ RAW ได้เท่านั้น แต่คุณจะสามารถใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์การประมวลผลภาพ RAW อย่าง Digital Photo Professional 4 (DPP 4) ของ Canon เพื่อจัดการงานต่างๆ เช่น การปรับแต่งภาพอย่างละเอียด, Bokeh Shift และการลดแสงหลอกได้
ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DPRAW โปรดอ่านบทความต่อไปนี้:
เคล็ดลับการใช้งานกล้อง EOS 5D Mark IV: 3 คุณสมบัติใหม่ของ DPP ที่มีประโยชน์สำหรับแก้ไขภาพถ่าย DPRAW
ในบรรดาตัวเลือกที่กล่าวมานี้ Bokeh Shift เป็นคุณสมบัติที่โดดเด่น ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนตำแหน่งส่วนที่เบลอในระยะโฟร์กราวด์ไปที่ด้านข้างของภาพได้ แม้ว่าปริมาณการชิฟต์ที่ให้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่จะเป็นประโยชน์เมื่อคุณต้องการป้องกันไม่ให้ส่วนที่เบลอในระยะโฟร์กราวด์ซ้อนกับตัวแบบ
Bokeh Shift: ก่อน
Bokeh Shift: หลัง
การปรับแต่งภาพอย่างละเอียดจะช่วยปรับความละเอียดคมชัดของภาพโดยอิงจากข้อมูลค่าความลึก ดังนั้น จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูงในการโฟกัส
การปรับแต่งภาพอย่างละเอียด: ก่อน
การปรับแต่งภาพอย่างละเอียด: หลัง
ฟังก์ชันการลดแสงหลอกให้ผลภาพถ่ายที่น่าพอใจด้วยเช่นกัน แม้ว่าฟังก์ชันนี้ไม่ได้ขจัดแสงหลอกและแสงแฟลร์ให้หมดไปโดยสิ้นเชิง แต่คุณจะพบว่าเป็นคุณสมบัติที่มีประโยชน์มากหากใช้เพื่อลดแสงในภาพถ่ายให้เหลือน้อยที่สุด
อย่างไรก็ดี ข้อเสียประการหนึ่งของ DPRAW ที่อาจเกิดขึ้นและคุณควรระมัดระวังไว้คือ ขนาดของไฟล์ที่ใหญ่ขึ้น โดยภาพ DPRAW แต่ละภาพจะกินพื้นที่ถึงประมาณ 67 เมกะไบต์ ในขณะที่ภาพ RAW ปกติจะมีขนาดประมาณ 38 เมกะไบต์
Digital Lens Optimizer ในตัว
คุณสมบัติที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของ EOS 5D Mark IV คือการนำระบบ Digital Lens Optimizer มาใช้ในกล้องเพื่อแก้ไขความคลาดของเลนส์ ซึ่งที่ผ่านมาระบบนี้เป็นฟังก์ชันที่มีให้ใช้งานในระหว่างการประมวลผลภาพ RAW ด้วย DPP เท่านั้น
Digital Lens Optimizer แก้ไขความคลาดของเลนส์ที่คุณใช้ในแบบดิจิตอลโดยการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ลักษณะเฉพาะด้านออพติคอลและขนาดรูรับแสงของเลนส์ นอกจากนี้ คุณสมบัตินี้ยังใช้กับภาพ JPEG ได้เช่นกัน
หากอธิบายให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ก็คือ คุณสมบัตินี้เป็นรูปแบบการประมวลผลความละเอียดสูงเป็นพิเศษผ่านการแก้ไขแบบดิจิตอล โดยอาศัยข้อมูลต่างๆ ได้แก่ ลักษณะเฉพาะด้านออพติคอลของเลนส์และขนาดรูรับแสง รวมถึงลักษณะเฉพาะของเซนเซอร์ภาพและฟิลเตอร์ Low-pass และเนื่องจากเป็นคุณสมบัติที่สามารถแก้ไขความคลาดสีไปพร้อมกัน Digital Lens Optimizer จึงให้การสนับสนุนที่สร้างความมั่นใจได้เมื่อคุณต้องการภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น
Digital Lens Optimizer: ปิด
Digital Lens Optimizer: เปิด
ขณะนี้ Digital Lens Optimizer แบบใหม่ในตัวไม่เพียงช่วยให้เวลาในการประมวลผลภาพสั้นลงเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้กับภาพ JPEG ได้แล้วเช่นกัน เนื่องจากก่อนหน้าที่จะมีการเปิดตัว EOS 5D Mark IV มีเสียงเรียกร้องให้ผลิตกล้องที่ไม่มีฟิลเตอร์ Low-pass แต่การมีคุณสมบัติ Digital Lens Optimizer ในตัวทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเตอร์ดังกล่าวเลย
เมื่อเปิดใช้งานฟังก์ชันนี้ ตัวเลือกการแก้ไขความคลาดสีและความบิดเบี้ยวจะถูกซ่อนและปิดการใช้งานไว้
เมื่อเปิดใช้งาน Digital Lens Optimizer ตัวเลือกการแก้ไขความคลาดสีและความบิดเบี้ยวจะหายไป
นอกจากนี้ คุณสมบัติการประมวลผลภาพ RAW ภายในกล้องสำหรับการแก้ไขความคลาดเลนส์ยังมี Digital Lens Optimizer ด้วยเช่นกัน ดังนั้น คุณจึงสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัตินี้เพื่อสื่ออารมณ์ของภาพถ่ายในระดับที่สูงขึ้นได้
Wi-Fi/NFC และ GPS ในตัว
อีกคุณสมบัติหนึ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่าง EOS 5D Mark IV กับรุ่นก่อนหน้านี้ในซีรีย์เดียวกันคือ ฟังก์ชัน Wi-Fi/NFC และ GPS ในตัว
EOS 5D Mark IV ใหม่ยังโดดเด่นด้วยฟังก์ชัน Wi-Fi และ NFC ในตัว ซึ่งรองรับมาตรฐาน IEEE 802.11b/g/n นอกจากนี้ คุณยังสามารถถ่ายภาพระยะไกลและเรียกดูภาพโดยใช้ EOS Utility ได้
สำหรับผู้ใช้งาน EOS 5D Mark III รวมถึง EOS 5DS และ EOS 5DS R (ซึ่งรวมถึงผู้เขียน) จำเป็นต้องใช้การ์ดหน่วยความจำที่รองรับ LAN ไร้สายเพื่อถ่ายโอนภาพผ่านการเชื่อมต่อ Wi-Fi นอกจากนี้ ยังต้องเชื่อมต่อตัวรับสัญญาณ GPS GP-E2 กับฐานเสียบแฟลชเพื่อบันทึกข้อมูลตำแหน่ง ดังนั้น ฟังก์ชัน Wi-Fi และ NFC ในตัวของกล้อง EOS 5D Mark IV จึงเป็นการพลิกโฉมครั้งใหญ่หากพิจารณาในแง่ของความสะดวกสบายที่มอบให้ ยิ่งไปกว่านั้น การใช้งานแบตเตอรี่สำหรับ GPS ยังกินไฟน้อยกว่าเดิมมาก ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่าจำนวนภาพที่ถ่ายได้จะลดลงอย่างฮวบฮาบ
โมดูล Wi-Fi และ GPS จะติดตั้งไว้ภายในพื้นที่เพนทาปริซึม ส่วนโมดูล NFC จะฝังไว้ในตัวกล้องใกล้กับส่วนมือจับ
ฟังก์ชัน GPS มี 2 ตัวเลือกให้เลือกคือ “โหมด 1” (บน) และ “โหมด 2” (ล่าง) โดยโหมด 1 จะรับข้อมูลตำแหน่งทันทีที่คุณเปิดใช้งานกล้อง แต่จะใช้แบตเตอรี่หมดอย่างรวดเร็วกว่า
คุณสมบัติจดบันทึกค่า GPS ติดตามเส้นทางของกล้องและบันทึกข้อมูลตำแหน่งไปยังหน่วยความจำภายในโดยอัตโนมัติ และเมื่อใช้ซอฟต์แวร์ Map Utility คุณสามารถแสดงตำแหน่งของภาพที่คุณถ่ายและเส้นทางที่คุณใช้เดินทางในแผนที่บนเครื่องพีซีของคุณได้
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับฟังก์ชัน GPS ในกล้อง EOS 5D Mark IV ได้ที่:
Wi-Fi และ GPS ในตัวของกล้อง EOS 5D Mark IV
รูปแบบภาพ (เน้นรายละเอียด) ที่เพิ่มเข้ามาใหม่
คุณสมบัติอื่นๆ ที่กล่าวถึงไปแล้วก่อนหน้านี้คือ "เน้นรายละเอียด" ซึ่งเป็นตัวเลือกใหม่ของ "รูปแบบภาพ" ตามชื่อของคุณสมบัติ เน้นรายละเอียด จะเน้นที่การถ่ายทอดรายละเอียดของภาพ จึงเป็นประโยชน์เมื่อต้องการแสดงรายละเอียดของภาพให้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มการตั้งค่า “Fineness” and “Threshold” เข้าไปในพารามิเตอร์รูปแบบภาพ "ความคมชัด" ด้วยเช่้นกัน ซึ่งการตั้งค่าเหล่านี้จะทำงานร่วมกันเพื่อให้ EOS 5D Mark IV สามารถถ่ายทอดอารมณ์ภาพได้หลากหลายยิ่งขึ้น
เน้นรายละเอียด เป็นรูปแบบภาพใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาเพื่อช่วยให้คุณถ่ายทอดรายละเอียดของภาพได้ดียิ่งขึ้น
ในการตั้งค่าสมดุลแสงขาวอัตโนมัติ คุณสามารถเลือกระหว่าง “ตามบรรยากาศ” ซึ่งจะรักษาโทนสีของแหล่งกำเนิดแสงเล็กน้อย หรือ “กำหนดลีขาว” ซึ่งจะแก้ไขโทนสีเกือบทั้งหมดของภาพได้
คุณสามารถเลือกตามบรรยากาศ (บน) หรือกำหนดลีขาว (ล่าง) ในการตั้งค่าสมดุลแสงขาวอัตโนมัติ และสามารถเลือกตามบรรยากาศเป็นค่าเริ่มต้นได้
ตัวอย่างภาพถ่ายที่ใช้ตามบรรยากาศ (ซ้าย) และกำหนดลีขาว (ขวา) ทั้งสองภาพใช้หลอดไฟส่องแบบ (ฮาโลเจน) เป็นแหล่งกำเนิดแสง แต่ทั้งสองตัวเลือกให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
แน่นอนว่า EOS 5D Mark IV มีคุณสมบัติ Anti-flicker ซึ่งสะดวกมากๆ สำหรับการถ่ายภาพในที่ร่ม
นอกเหนือจากคุณสมบัติที่ได้อธิบายข้างต้นแล้ว EOS 5D Mark IV ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมายที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากคุณสมบัติที่มีให้ใช้งานในรุ่นก่อนหน้ารวมถึงกล้องรุ่นใหม่เอี่ยมต่างๆ ผมอาจกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมต่างๆ ของ EOS 5D Mark IV ได้ไม่หมดหากต้องการจะอธิบายคุณสมบัติแต่ละข้ออย่างละเอียด เมื่อพิจารณาถึงฐานผู้ใช้งานที่กว้างขวาง การจะบอกว่าซีรีย์ EOS 5D ไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของกล้อง Canon เท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนโลกแห่งกล้อง DSLR ทั้งหมดด้วยก็คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนัก นอกจากนี้ การเปิดตัว EOS 5D Mark IV ก็ช่วยยกระดับสถานะของซีรีย์ EOS 5D ให้แข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
รับข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการถ่ายภาพ รวมถึงเคล็ดลับและกลเม็ดต่างๆ ได้โดย ลงทะเบียนกับเรา!
EOS 5D Mark IV (Body)
เกิดเมื่อปี 1965 ที่จังหวัดมิยะซะกิ Ohura จบการศึกษาจากแผนกการถ่ายภาพจากวิทยาลัยศิลปะ มหาวิทยาลัยนิฮอง หลังจากทำงานในแผนกตัดต่อกับบริษัทการวางแผนการออกแบบและนิตยสารรถมอเตอร์ไซค์ เขาผันตัวมาเป็นช่างภาพอิสระ เขาเขียนบทความให้กับนิตยสารด้านการถ่ายภาพจากประสบการณ์ในการใช้กล้องดิจิตอลสำหรับการถ่ายภาพโฆษณา นอกเหนือจากการทำงาน เขาชอบดูภาพถ่ายและหาเวลาเยี่ยมชมแกลเลอรี่อยู่เสมอ Ohura ยังเป็นสมาชิก Camera Grand Prix Selection Committee อีกด้วย
ส่งข่าวสารรายวันเกี่ยวกับเรื่องราวของกล้องดิจิตอลและอุปกรณ์เสริมต่างๆ รวมถึงซอฟต์แวร์ตกแต่งภาพ นอกจากนี้ยังเผยแพร่บทความต่างๆ เช่น รีวิวการใช้กล้องดิจิตอลจริงพร้อมตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องรุ่นใหม่ๆ