[ตอนที่ 1] กล้องรุ่นที่สามในตระกูล “5D” ได้รับคำชื่นชมจากช่างภาพระดับมือโปรในเรื่องคุณภาพของภาพถ่าย
หลังจากกระบวนการพัฒนาอันยาวนานถึงสี่ปี EOS 5D Mark III ได้ปรากฏตัวพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ นอกเหนือจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานขั้นพื้นฐานแล้ว พลังในการถ่ายทอดความรู้สึกของ EOS 5D Mark III ยังได้รับการพัฒนาอย่างมากเช่นกัน และอาจมีคนจำนวนมากที่อยากทราบว่ากล้องรุ่นใหม่นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้เป็นการสัมภาษณ์ทีมนักพัฒนาคนสำคัญถึงความหลงใหลของพวกเขาที่มีต่อกล้องรุ่นนี้ ใน [ตอนที่ 1] นี้ เราจะมาเจาะลึกถึงเรื่องของคุณภาพภาพถ่ายระดับสูงที่กล้อง EOS 5D Mark III ทำได้ รวมถึงการออกแบบบอดี้กล้องให้มี “สไตล์ที่ลื่นไหล” (ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ในเดือนพฤษภาคม 2012) (ผู้สัมภำษณ์: Ryosuke Takahashi / ภาพโดย: Takehiro Kato)
(แถวบน จากซ้ายมือ)
Noriaki Tsunai, กลุ่มผลิตภัณฑ์ภาพถ่าย/ Makoto Kameyama, ศูนย์พัฒนำกล้อง/ Kentaro Midorikawa, ศูนย์พัฒนำกล้อง/ Shingo Nakano, ศูนย์พัฒนำกล้อง
(แถวหลัง จากซ้ายมือ)
Mie Ishii, ศูนย์พัฒนำกล้อง/ Masami Sugimori, ศูนย์พัฒนำกล้อง/ Keita Sato, ศูนย์กำรออกแบบ/ Hiromichi Sakamoto, ศูนย์พัฒนำกล้อง
ISO 25600 มาตรฐาน ช่วยให้รู้ซึ้งถึงความหมายแท้จริงของคำว่า “คุณภาพภาพถ่ายระดับสูง”
― คุณช่วยเริ่มด้วยการเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับไอเดียโดยรวมของ EOS 5D Mark III
Tsunai ในขั้นแรก เราได้พัฒนา EOS 5D Mark III หลังรุ่น EOS 5D Mark II นอกจากการปรับปรุงเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณภาพระดับสูงของภาพโดยรวมที่ทำให้รุ่น 5D มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับแล้ว เรายังได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตกล้องที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงที่สุด แน่นอนว่ายังให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกและความรู้สึกในเรื่องคุณภาพของกล้อง เพื่อมอบความสุขให้กับผู้ใช้จากการได้ครอบครองกล้องรุ่นนี้
EOS 5D Mark III
4 ปีให้หลัง นับจากกล้องรุ่นพี่อย่าง EOS 5D Mark II กล้อง EOS 5D Mark III ก็คลอดตามมา EOS 5D Mark III น้องใหม่ได้กลายมาเป็นกล้องซึ่งเป็นที่นิยมของผู้หลงใหลการถ่ายภาพทุกประเภท
Weight:Approx. 950g / 33.5oz. (CIPA Guidelines), Approx. 860g / 30.3oz. (Body only)
― จากความคิดเห็นของผู้ใช้ EOS 5D Mark II ส่วนใดของกล้องที่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนามากที่สุด?
Tsunai โดยทั่วไปแล้ว คุณภาพของภาพเป็นที่น่าพอใจทั้งใน EOS 5D และ EOS 5D Mark II แต่เราได้รับความเห็นจำนวนมากเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานและการตอบสนองของระบบโฟกัสอัตโนมัติ ในบรรดาความเห็นเกี่ยวกับการตอบสนองได้มีการร้องขอให้ปรับปรุงประสิทธิภาพในการถ่ายภาพต่อเนื่องและลดการหน่วงเวลาการลั่นชัตเตอร์ และยังมีความเห็นอื่นๆ เกี่ยวกับช่องมองภาพและภาพมัวระหว่างการถ่ายวิดีโอ
กล้อง EOS 5D (ขวา) ทำให้กล้อง DSLR ฟูลเฟรมกลายเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยของช่างภาพทุกระดับ กล้อง EOS 5D Mark II (ซ้าย) ใช้เซนเซอร์ CMOS ขนาดฟูลเฟรม ความละเอียด 21.1 ล้านพิกเซล นับเป็นการเปิดยุคใหม่แห่งการถ่ายภาพยนตร์ กล้อง EOS 5D Mark III เป็นกล้องรุ่นที่ 3 ของซีรีย์กล้องชั้นเยี่ยมนี้
― ความเห็นของผู้ใช้เกี่ยวกับช่องมองภาพเกี่ยวข้องกับเรื่องมุมมองที่ครอบคลุมของช่องมองภาพหรือเปล่า?
Tsunai ใช่ครับ ผู้ใช้จำนวนมากให้ความสนใจกับวิธีการถ่ายทอดอารมณ์ผ่านการถ่ายภาพอย่างมาก เราจึงเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะทำให้ช่องมองภาพมีมุมมองที่ครอบคลุมใกล้เคียง 100% มากที่สุด
กล้อง EOS 5D Mark III ใช้เพนทาปริซึมที่มีขนาดใหญ่กว่ารุ่น Mark II ถึง 1.3 เท่าเพื่อให้ได้ช่องมองภาพที่ครอบคลุมทั้ง 100%
― คุณช่วยบอกได้ไหมว่าทำไมถึงเลือกจำนวนพิกเซลเท่านี้สำหรับ EOS 5D Mark III
Tsunai ปัจจุบันนิยามของ “คุณภาพของภาพที่สูง” ไม่ได้จำกัดอยู่ที่จำนวนพิกเซลสูงๆ เท่านั้น นอกจากการถ่ายภาพในที่สว่างแล้ว ยังมีแนวโน้มว่ามีหลายครั้งที่คุณจะต้องถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย เช่นในเวลากลางคืนหรือก่อนฟ้าสาง ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า “คุณภาพของภาพที่สูง” หมายถึงคุณภาพที่น่าพึงพอใจในทุกแง่มุม รวมถึงเรื่องเวลาและสถานที่ถ่ายภาพ ในที่สุดแล้ว เราสามารถค้นหาความสมดุลที่เหมาะที่สุดได้โดยเพิ่มค่าความไวแสง ISO ขึ้นสองสต็อปซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นประจำใน EOS 5D Mark III ได้ โดยมีความละเอียดประมาณ 22.3 ล้านพิกเซล
จำนวนพิกเซลที่สูงถึง 22.3 ล้านพิกเซล ได้ตอบข้อสงสัยถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “คุณภาพของภาพถ่ายระดับสูง” Canon ทำให้ความไวแสง ISO มาตรฐานที่ระดับ ISO 25600 ใช้งานได้จริงบนกล้อง EOS 5D Mark III รุ่นนี้
― ครับ หมายความว่าคุณไม่ได้กำหนดจำนวนพิกเซลเป้าหมายที่ต้องการไว้ตั้งแต่เริ่มแรกใช่ไหมครับ
Tsunai เรามุ่งที่จะพัฒนาคุณภาพของภาพโดยรวมโดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มความไวแสง ISO ที่สามารถใช้เป็นประจำได้
Sugimori ตามที่หลายท่านทราบ เราเกือบไปถึงขีดสุดที่เราสามารถเพิ่มจำนวนพิกเซลหากดูตามกำลังในการแยกรายละเอียดภาพของเลนส์ เพราะเราทราบดีเกี่ยวกับประเด็นนี้ จึงเป็นสาเหตุให้เราตัดสินใจว่าการเพิ่มจำนวนพิกเซลอาจไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีที่สุดในขณะนี้ก็เป็นได้ แม้ว่าเราจะยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องนี้ แต่จากการพยายามเพิ่มคุณภาพของภาพ เราได้นำคุณสมบัติ “Digital Lens Optimizer” เข้ามาใช้บนซอฟต์แวร์ Digital Photo Professional ซึ่งมาจากความเชื่อของเราว่านอกจากจำนวนพิกเซลแล้ว ยังมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงคุณภาพของภาพโดยรวมด้วยวิธีการอื่นๆ
Digital Lens Optimizer ใหม่ช่วยปลดปล่อยประสิทธิภาพของความละเอียดสูง 22.3 ล้านพิกเซลได้อย่างเต็มที่ Digital Lens Optimizer เป็นฟังก์ชั่นใหม่ที่นำมาใช้ใน Digital Photo Professional ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมกับกล้อง
― ขอบคุณที่ได้อธิบายให้เราฟังอย่างละเอียด อยากจะขอให้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดและคุณสมบัติต่างๆ ของการออกแบบของ EOS 5D Mark III ได้ไหมครับ?
Sato ระหว่างการพัฒนา EOS 7D เราได้สร้าง “สไตล์ที่ลื่นไหล” ให้เป็นแนวคิดสำหรับการออกแบบกล้องซีรีย์ EOS ทั้งหมด ด้สร้าง “สไตล์ที่ลื่นไหล” ให้เป็นแนวคิดสำหรับการออกแบบกล้องซีรีย์ EOS ทั้งหมด นี่เป็นสไตล์ที่มีทั้งรูปทรงตามหลักการยศาสตร์ที่กระชับพอดีกับมือ เช่นเดียวกับ “พื้นผิวโค้ง” อันงดงาม EOS 5D Mark III ใหม่ได้ยึดมั่นตามแนวคิดนี้โดยพื้นฐาน และขณะเดียวกัน ก็มีลักษณะภายนอกที่ดูแข็งแกร่งระดับกลางซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของตระกูล “5D”
― ผมบอกได้เลยว่ามีความใส่ใจในรายละเอียดอย่างมากด้วย เช่น ปุ่มต่างๆ และส่วนมือจับ
Sato ใช่ครับ เราได้คำนึงถึงทุกรายละเอียดปลีกย่อย เนื่องจากเราคาดหวังว่าช่างภาพมืออาชีพจะใช้กล้องนี้ด้วย ดังนั้นอาจมีรายละเอียดที่คุณไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำไป (หัวเราะ) นอกจากมุมของปุ่มแต่ละอันและความรู้สึกเมื่อกดปุ่มเหล่านี้ เรายังได้พยายามอย่างมากที่จะพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของส่วนควบคุมต่างๆ เช่น การนำยางมาติดด้านข้างของวงแหวนปรับโหมด ในลักษณะเดียวกัน ฝาปิดช่องใส่การ์ดก็ติดยางไว้เช่นกันเพื่อให้จับได้กระชับมือยิ่งขึ้น
― ส่วนใดที่คุณพิถีพิถันเป็นพิเศษเมื่อออกแบบ EOS 5D Mark III?
Sato ความจริงแล้ว ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เราพยายามที่จะหลีกเลี่ยงรูปลักษณ์ที่ประณีตบรรจงเกินไป เราไม่ต้องการที่จะสื่อถึงความงดงามเลิศหรู แต่ให้สื่อถึงความทันสมัยที่ให้ความสำคัญกับหน้าที่ของมันในฐานะเป็น “เครื่องมือ” อย่างหนึ่ง ส่วนเดียวที่มีการแต่งเติมลักษณะพิเศษเข้าไปคือส่วนของเพนทาปริซึม เพนทาปริซึมซึ่งเทียบตำแหน่งได้กับส่วนหัวของกล้องจะแตกต่างจากพื้นผิวโค้งของตัวกล้องโดยออกแบบมาให้ดูค่อนข้างแข็งแกร่งเพื่อให้รู้สึกถึงความสง่างาม ได้มีการลองผิดลองถูกมากมายหลายครั้งเพื่อกำหนดตำแหน่งของเส้นสายและวิธีที่ส่วนหัวจะดีไซน์ให้สอดรับกับตัวกล้อง เช่นเดียวกับมุมโค้งของระนาบ นอกจากนี้ยังมีกลวิธีทางเทคนิคระดับสูงเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำให้ฝาปิดที่ถูกเคลือบไว้สามารถเข้ากันกับตัวกล้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลจากการสนับสนุนจากทางโรงงานผลิต
เราได้ทุ่มเทมากเป็นพิเศษกับการออกแบบส่วนบนของบอดี้กล้อง EOS 5D Mark III เพื่อสร้างความสง่างามชวนหลงใหล นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดการออกแบบที่มุ่งเน้น “สไตล์ที่ลื่นไหล” ซึ่งช่วยให้ถือกล้องได้สบายมือยิ่งขึ้นด้วยรูปทรงโค้งมนที่งดงาม
― ในเรื่องของเซนเซอร์ภาพ ช่วยขยายให้ฟังถึงมุมมองทางเทคนิคที่ทำให้สามารถเพิ่มความไวแสง ISO ที่นำมาใช้งานเป็นประจำได้ รวมทั้งการลดปริมาณจุดสีรบกวนและช่วงไดนามิกเรนจ์ที่กว้างในเวลาเดียวกันได้?
Ishii ส่วนหนึ่งถือว่ามาจากความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของพวกเรา แต่ยังมาจากความก้าวหน้าในกระบวนการย่อขนาดให้สอดคล้องกับระดับพิกเซลที่เล็กลงซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนพิกเซลที่สูงขึ้น กระบวนการย่อขนาดทำให้เราสามารถมีพื้นที่โฟโตไดโอดที่กว้างขึ้นได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือดีไซน์แบบใหม่จะใช้พื้นที่ที่กว้างขึ้นเพื่อรับแสง
การพัฒนาอีกระดับที่นำมาใช้ในการลดขนาดเซนเซอร์ CMOS ของกล้อง EOS 5D Mark III ทำให้ระดับจุดรบกวนลดลงและมีช่วงไดนามิกเรนจ์ที่พอเหมาะ แม้จะมีความละเอียดสูงถึง 22.3 ล้านพิกเซลก็ตาม
― EOS 5D Mark III มีระดับพิกเซลประมาณ 6.25 ไมครอน จริงหรือไม่ที่การพัฒนาที่กล่าวถึงนี้ช่วยชดเชยการลดระดับพิกเซลลง?
Ishii ใช่ค่ะ คุณจะคิดแบบนั้นก็ได้ เกี่ยวกับลักษณะพิเศษที่ได้รับการปรับปรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องความไวแสง ISO สูง มีแนวโน้มที่จะเห็นจุดสีรบกวนได้ชัดเจนขึ้นจากการเพิ่มปริมาณแสงเล็กน้อย แม้แต่ข้อมูลจากเซนเซอร์ภาพก็อาจเป็นที่มาของการเกิดจุดสีรบกวนได้ เนื่องจากเราไม่แนะนำให้ขยายข้อมูลเมื่อมีจุดสีรบกวนอยู่แล้ว เราจึงได้ดำเนินการปรับปรุงมาตั้งแต่รุ่น EOS 5D Mark II เพื่อให้ดำเนินการขยายให้ใกล้กับโฟโตไดโอดมากที่สุด เราได้นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับ EOS 5D Mark III เช่นกัน
― มีการปรับเปลี่ยนรูปทรงหรือเลนส์ขนาดเล็กสำหรับเซนเซอร์ฟูลเฟรมหรือไม่?
Ishii สำหรับ EOS 5D Mark II เราได้พยายามที่จะลดช่องว่างระหว่างเลนส์ขนาดเล็กให้ได้มากที่สุด แต่สำหรับ EOS 5D Mark III เราได้นำดีไซน์แบบไร้ช่องว่างมาใช้ ซึ่งเป็นครั้งแรกสำหรับซีรีย์ 5D
การออกแบบที่แทบจะไร้ช่องว่างได้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อช่วยให้สามารถรับแสงบนโฟโตไดโอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่เทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนสูงเป็นสิ่งจำเป็นในโครงสร้างที่ไร้ช่องว่างสำหรับเซนเซอร์ฟูลเฟรม แต่ EOS 5D Mark III ก็ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการรับแสงที่บริเวณขอบของเซนเซอร์ภาพจนเป็นผลสำเร็จ
― การรับแสงที่บริเวณขอบเซนเซอร์ฟูลเฟรมอย่างมีประสิทธิภาพน่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก คุณได้ดำเนินการพัฒนาสิ่งใดหรือไม่ เช่น ปรับมุมหรือรูปทรงของเลนส์ขนาดเล็ก?
Ishii ดิฉันคงต้องพูดว่าเราเน้นไปที่ “ระยะ” มากกว่ารูปทรง เราพยายามที่จะปรับปรุงตำแหน่งที่สัมพันธ์กันของเลนส์ขนาดเล็กและโฟโตไดโอด หรืออีกนัยหนึ่ง เนื่องจากแสงจะตกลงมายังบริเวณขอบของเซนเซอร์ภาพจากมุมหนึ่ง เราจึงเปลี่ยนตำแหน่งของเลนส์ขนาดเล็กไปทางด้านข้างเพื่อให้แสงเข้าไปในโฟโตไดโอดได้ง่ายขึ้น
― อืมม์ เข้าใจ คำถามต่อไปขอถามเกี่ยวกับระบบประมวลผลภาพ ระบบประมวลผลภาพ DIGIC 5+ ต่างจาก DIGIC 5 อย่างไร?
Sugimori เครื่องหมาย “+” ที่ต่อท้าย DIGIC 5 เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการกำหนดค่าที่มีความเร็วการประมวลผลสูงขึ้น หากจะกล่าวให้เจาะจงยิ่งขึ้น DIGIC 5+ จะทำให้สามารถประมวลผลภาพด้วยความเร็วสูงได้โดยเชื่อมต่อกับหน่วยความจำที่มีความเร็วสูง
กล้อง EOS 5D Mark III ใช้ระบบประมวลผลภาพ DIGIC 5+ ซึ่งสามารถประมวลผลด้วยความไวที่สูงขึ้น รวดเร็วกว่า DIGIC 5 ประมาณ 3 เท่า
― ผมเชื่อว่าจะเกิดความร้อนในปริมาณมากจากกระบวนการที่มีความเร็วสูง คุณใช้มาตรการอะไรในการแก้ไขปัญหานี้หรือไม่?
Nakano เราคงไม่สามารถสร้างพัดลมเข้าไปในกล้องเหมือนกับเครื่องพีซีได้ (หัวเราะ) วิธีการขั้นพื้นฐานที่เราทำคือทำให้แน่ใจว่าความร้อนจะกระจายไปในทิศทางต่างๆ ถ้าความร้อนมาสะสมกันที่จุดหนึ่ง จะทำให้เกิด “การเบิร์น” ที่ส่วนประกอบอื่นๆ และอาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เรานำประเด็นนี้มาพิจารณาในการกำหนดว่าควรวางระบบประมวลผลภาพไว้ที่ใด
― สำหรับผม ความละเอียดคมชัดของภาพไม่ได้สูญเสียไปในรุ่น EOS 5D Mark III แม้ในขณะที่ถ่ายภาพด้วยค่า ISO สูงขึ้นก็ตาม ได้มีการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ในเรื่องนี้บ้างหรือไม่?
Sugimori มีครับ ผมไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ แต่เราได้นำเทคนิคการลดจุดสีรบกวนแบบใหม่มาใช้ แม้ว่าเทคนิคนี้จะมีประสิทธิภาพดีมาก แต่การใช้มากจนเกินพอดีจะทำให้สูญเสียรายละเอียดไปได้ เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะปรับมันให้อยู่ในระดับที่สมดุลพอดีกับความละเอียดคมชัดของภาพ
― ระบบนี้ได้นำมาใช้กับกล้อง EOS-1D X หรือเปล่า?
Sugimori ใช้ครับ ทั้งสองรุ่นนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน และยังติดตั้งด้วยระบบที่ใช้อัลกอริธึมเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงความไวแสง ISO ที่สูงใน EOS-1D X โดยใช้ระบบเดียวกันนี้
― คุณได้นำเซนเซอร์ AF แบบ 61 จุดมาใช้ภายในพื้นที่ที่จำกัด คุณช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้หรือไม่เกี่ยวกับข้อมูลทางเทคนิคที่ทำให้สามารถทำเช่นนี้ได้?
Nakano ผมไม่สามารถพูดเจาะจงเกี่ยวกับองค์ความรู้และทักษะในการผลิตได้ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ประสิทธิภาพการทำงานของระบบออพติคอล AF และเลย์เอาต์ของกลไกส่วนประกอบต่างๆ แม้ว่าการใช้จุด AF เป็นแบบบวก f/4 ทั้งหมดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ แต่การทำเช่นนั้นจะต้องเพิ่มขนาดของตัวกล้องซึ่งทำให้กล้องมีขนาดเทอะทะกว่าเดิม ดังนั้น จากการใช้ร่วมกับเซนเซอร์ f/5.6 เราจึงสามารถทำให้กล้องมีขนาดเล็กพร้อมๆ กับยังรักษาความแม่นยำในการโฟกัสได้ด้วย
ชุด AF ใหม่ของกล้อง EOS 5D Mark III ด้วยการผสมผสานเซนเซอร์ต่างๆ ที่มีขนาด f/5.6 เข้าด้วยกัน รวมทั้งการปรับเปลี่ยนเลย์เอาต์ชิ้นส่วนเชิงกลไก เซนเซอร์ AF ใหม่ชุดนี้จึงยังคงขนาดอันกะทัดรัด พร้อมๆ กับรักษาความแม่นยำในการโฟกัสไว้ได้
― มีการนำรูปแบบซิกแซกมาใช้สำหรับจุด AF ทั้งหมด ดังนั้น ใช่หรือไม่ที่จะต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล?
Midorikawa ถูกต้องแล้วครับ ระบบ AF มาพร้อมกับไมโครคอมพิวเตอร์เฉพาะ ซึ่งจะมีการประมวลผลข้อมูลทั้งหมด โดยพื้นฐานแล้ว แนวคิดของระบบนี้จะเหมือนกับของ EOS-1D X
ระบบโฟกัสอัตโนมัติความหนาแน่นสูง 61 จุดบนกล้อง EOS 5D Mark III นั้นเหมือนกันกับที่มีในกล้อง EOS-1D X โดยที่จุด AF ทั้งหมดเรียงตัวกันในรูปแบบซิกแซก ขณะที่ระบบที่มี 41 จุดจะทำงานเหมือนกับเซนเซอร์แบบกากบาท นอกจากนี้ ความไวต่อสภาพแสงน้อยของเซนเซอร์ AF ปัจจุบันอยู่ที่ -2 EV
― ความไวต่อสภาพแสงน้อยของเซนเซอร์ AF ได้เพิ่มขึ้นถึง -2 EV ในกล้อง EOS 5D Mark III มีการใช้เทคโนโลยีอะไรเพื่อให้สามารถทำเช่นนี้ได้?
Sakamoto เราได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพิกเซลของเซนเซอร์ AF วัตถุประสงค์หลักก็คือการตัดจุดสีรบกวนออกไป เนื่องจากการลดจุดสีรบกวนจะช่วยเพิ่มความไวมากขึ้นได้ การผสมผสานเทคนิคเหล่านี้นี่เองที่ทำให้สามารถเพิ่มความไวต่อสภาพแสงน้อยของเซนเซอร์ AF ได้
― มีการใช้เซนเซอร์ AF สามชนิดคือ f/2.8, f/4 และ f/5.6 เซนเซอร์เหล่านี้ทำงานระหว่างการโฟกัสอย่างไร?
Midorikawa ทั้งหมดนั้นเริ่มต้นจากการกำหนดว่าเซนเซอร์ตัวใดให้ผลที่น่าเชื่อถือมากที่สุด เมื่อนำผลลัพธ์ข้อมูลจากเซนเซอร์แต่ละตัวไปใช้ ข้อมูลจะถูกจัดเรียงตามอัลกอริธึมลับ จากนั้น ก็จะมีการเพิ่มข้อมูลจากเซนเซอร์ที่มีรูปแบบซิกแซกเพื่อกำหนดจุดสุดท้ายที่จะโฟกัส
― มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของคุณสมบัติ AI Servo AF อย่างไร หากเทียบกับอัลกอริธึมของรุ่นที่มีอยู่แล้วรุ่นอื่นๆ
Midorikawa EOS 5D Mark III จะดำเนินการภายในเพื่อปรับค่าตัวแปรทั้งหมดสำหรับ AI Servo AF เนื่องจากการใช้อัลกอริธึมเดียวกันในการแข่งรถและการแสดงสเก็ตลีลานั้นไม่สามารถเป็นไปได้ เราจึงได้พัฒนาอัลกอริธึมแยกกันโดยศึกษาลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละแบบ สิ่งสำคัญที่ทำให้กล้องรุ่นนี้โดดเด่นจากรุ่นก่อนๆ คือ ความสามารถในการปรับแต่งค่าด้วยตนเองได้
― หน้าจอเมนูของ “เครื่องมือการกำหนดค่า AF” เหมือนกับ EOS-1D X แล้วมีฟังก์ชั่นเหมือนกันด้วยหรือไม่?
Midorikawa ใช่ครับ ฟังก์ชั่นต่างๆ เหมือนกันแต่เนื่องจาก EOS 5D Mark III ไม่ได้ติดตั้งเซนเซอร์การวัดแสง RGB 100,000 พิกเซล ฟังก์ชั่น AF สำหรับตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของวัตถุจึงถูกควบคุมโดยขึ้นอยู่กับข้อมูลผลลัพธ์ที่ได้จากเซนเซอร์ AF ระบบโฟกัสอัตโนมัติถูกควบคุมโดยการคาดคะเนทางสถิติ ซึ่งเป็นตรรกะพื้นฐานของ AI Servo AF
“เครื่องมือกำหนดค่าการโฟกัสอัตโนมัติ” ที่ใช้งานสะดวกมาก สำหรับการกำหนดค่าระบบโฟกัสอัตโนมัติของ EOS 5D Mark III ด้วยตนเอง ไอคอนและคำอธิบายจะช่วยให้เข้าใจลักษณะการตั้งค่าแต่ละแบบ