ค้นหาสิ่งที่คุณต้องการ

หรือค้นหาโดย

หัวข้อ

Article
Article

Article

e-Book
e-Book

e-Book

Video
Video

Video

Campaigns
Campaigns

Campaigns

Architecture
กล้องคอมแพค

กล้องคอมแพค

Architecture
DSLRs

DSLRs

Architecture
การถ่ายวีดิโอ

การถ่ายวีดิโอ

Architecture
ภาพดาราศาสตร์

ภาพดาราศาสตร์

Architecture
กล้องมิลเลอร์เลส

กล้องมิลเลอร์เลส

Architecture
ภาพสถาปัตยกรรม

ภาพสถาปัตยกรรม

Architecture
เทคโนโลยีของแคนนอน

เทคโนโลยีของแคนนอน

Architecture
การถ่ายภาพในขณะที่มีแสงน้อย

การถ่ายภาพในขณะที่มีแสงน้อย

Architecture
การสัมภาษณ์ช่างภาพ

การสัมภาษณ์ช่างภาพ

Architecture
ภาพวิวทิวทัศน์

ภาพวิวทิวทัศน์

Architecture
การถ่ายภาพมาโคร

การถ่ายภาพมาโคร

Architecture
การถ่ายภาพกีฬา

การถ่ายภาพกีฬา

Architecture
การถ่ายภาพท่องเที่ยว

การถ่ายภาพท่องเที่ยว

Architecture
การถ่ายภาพใต้น้ำ

การถ่ายภาพใต้น้ำ

Architecture
แนวคิดการถ่ายภาพและการประยุกต์ใช้

แนวคิดการถ่ายภาพและการประยุกต์ใช้

Architecture
การถ่ายภาพสตรีท

การถ่ายภาพสตรีท

Architecture
กล้องมิเรอร์เลสแบบฟูลเฟรม

กล้องมิเรอร์เลสแบบฟูลเฟรม

Architecture
เลนส์และอุปกรณ์เสริม

เลนส์และอุปกรณ์เสริม

Architecture
Nature & Wildlife Photography

Nature & Wildlife Photography

Architecture
การถ่ายภาพพอร์ตเทรต

การถ่ายภาพพอร์ตเทรต

Architecture
การถ่ายภาพกลางคืน

การถ่ายภาพกลางคืน

Architecture
การถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง

การถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง

Architecture
โซลูชั่นการพิมพ์

โซลูชั่นการพิมพ์

Architecture
รีวิวผลิตภัณฑ์

รีวิวผลิตภัณฑ์

Architecture
การถ่ายภาพงานแต่งงาน

การถ่ายภาพงานแต่งงาน

ผลิตภัณฑ์ >> ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด

EOS-1D X Mark II: รีวิวฟังก์ชั่นการทำงานและการออกแบบภายนอก

2016-08-04
0
8.84 k
ในบทความนี้:

กล้อง EOS-1D X Mark II ซึ่งออกสู่ตลาดในปี 2016 ได้รับการจัดอันดับเป็นกล้องรุ่นเรือธงระดับสูงสุดในบรรดากล้องดิจิตอลรุ่นต่างๆ ของ Canon ต่อไปนี้คือรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของกล้องรุ่นนี้ที่พัฒนาต่อจากรุ่นก่อนหน้า EOS-1D X ในแง่ของรูปลักษณ์และฟังก์ชั่นการทำงาน
(เรื่องโดย: Koichi Isomura)

 

ออกแบบมาสำหรับช่างภาพมืออาชีพที่ถ่ายภาพในสภาวะสมบุกสมบัน

กล้อง EOS-1D X Mark II ได้รับการจัดอันดับเป็นกล้องรุ่นเรือธงระดับสูงสุดในบรรดากล้องดิจิตอลรุ่นต่างๆ ที่ Canon วางจำหน่าย ออกแบบมาสำหรับช่างภาพมืออาชีพเป็นหลัก เป็นกล้องที่เชื่อถือได้อย่างสูง แข็งแรงทนทานเป็นเยี่ยม สามารถรับมือกับสภาวะการถ่ายภาพที่สมบุกสมบัน มีคุณสมบัติกันหยดน้ำและกันฝุ่น รวมทั้งชัตเตอร์ที่ทนทานการใช้งานสูงสุด 400,000 รอบ ถือได้ว่ากล้องรุ่นนี้เป็นทายาทตัวจริงของ EOS-1 ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Canon ในยุคที่ใช้กล้องฟิล์ม SLR

แม้จะใช้เซนเซอร์ CMOS ฟูลเฟรม 35 มม. เหมือนกับรุ่นก่อนหน้า แต่จำนวนพิกเซลของ EOS-1D X ถูกปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 20.2 ล้านพิกเซล เมื่อเทียบกับประมาณ 18.1 ล้านพิกเซลในกล้อง EOS-1D X นอกจากนี้ยังเป็นกล้อง DSLR ฟูลเฟรมตัวแรกที่มาพร้อมเซนเซอร์ Dual Pixel CMOS (อ่านเพิ่มเติมได้ใน ตอนที่ 3 ของบทสัมภาษณ์นักพัฒนากล้อง) และยังให้ความเร็วการโฟกัสอัตโนมัติสูงในระหว่างการถ่ายภาพ Live View ด้วย

 

ฟังก์ชั่น AF ที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้นและพื้นที่ AF กว้างขึ้นด้วยการใช้เซนเซอร์ใหม่

ฟังก์ชั่น AF ในกล้อง EOS-1D X Mark II ยังได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ EOS-1D X จากการใช้เซนเซอร์ AF ที่พัฒนาขึ้นใหม่ รวมทั้งการปรับโครงสร้างการออกแบบออพติคอลและอัลกอริทึม ซึ่งส่งผลให้สมรรถนะการทำงานพื้นฐานของกล้องดีขึ้นอย่างมาก

จำนวนจุด AF ยังอยู่ที่ 61 จุดเท่าเดิม แต่พื้นที่ AF ขยายเพิ่มขึ้นทั้งด้านบนและด้านล่าง พื้นที่ AF ในช่องมองภาพขยายกว้างขึ้นราว 24% สำหรับจุด AF บริเวณขอบภาพ และราว 8% สำหรับจุด AF ที่กึ่งกลาง เมื่อเทียบกับ EOS-1D X ผู้ใช้จึงสามารถเพลิดเพลินกับความยืดหยุ่นในการจัดองค์ประกอบภาพถ่ายได้มากขึ้น

พัฒนาการของฟังก์ชั่น AF ยังเห็นได้จากรูรับแสงกว้างสุดของเลนส์ที่สามารถใช้การโฟกัสอัตโนมัติได้ สำหรับกล้อง EOS-1D X เฉพาะจุด AF ที่กึ่งกลางเท่านั้นที่รองรับการโฟกัสอัตโนมัติสำหรับเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างสุดที่ f/8 (เฟิร์มแวร์เวอร์ชั่น 1.1.1 หรือใหม่กว่า) ในขณะที่จุด AF ทั้งหมดในกล้อง EOS-1D X Mark II รองรับการโฟกัสอัตโนมัติสำหรับเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างสุดที่ f/8 ซึ่งจะมีประโยชน์ในกรณีอย่างเช่น เมื่อใช้เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างสุดที่ f/4 ร่วมกับตัวขยายช่องมองภาพ 2 เท่า เพื่อเพิ่มรูรับแสงกว้างสุดที่ใช้งานได้เป็น f/8 นอกจากนี้ จุด AF 21 จุดที่กึ่งกลางยังช่วยให้โฟกัสแบบ Cross-type ที่ f/8 ได้ โดยในขณะนี้จุด AF ที่กึ่งกลางรองรับการโฟกัสอัตโนมัติสำหรับสภาพแสงน้อยถึง EV-3 (สูงสุด EV-2 ในกล้อง EOS-1D X)

นอกจากตัวเลือกของโหมดเลือกพื้นที่ AF ซึ่งมีให้ใช้งานแล้ว ซึ่งได้แก่ เลือกด้วยตนเอง: AF แบบจุดเล็ก, เลือกด้วยตนเอง: AF 1 จุด, ขยายพื้นที่ AF (ซ้าย, ขวา, บน, ล่าง), ขยายพื้นที่ AF: ล้อมรอบ, เลือกด้วยตนเอง: โซน AF และการเลือก AF อัตโนมัติแล้ว กล้องยังมีตัวเลือก เลือกด้วยตนเอง : Large Zone AF ที่แบ่งจุด AF ออกเป็นสามโซน (ซ้าย, กลาง และขวา)

สำหรับเรื่องราวเจาะลึกเกี่ยวกับฟังก์ชั่น AF ที่ปรับปรุงใหม่ของ EOS-1D X Mark II โปรดอ่าน บทสัมภาษณ์นักพัฒนากล้อง (ตอนที่ 2)

 

ตัวอย่างการใช้การถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงและ AI Servo AF

ภาพตัวอย่างด้านล่างเป็นภาพนักแข่งจักรยานที่กำลังปั่นอย่างเต็มสปีดขึ้นเนินถนนในการแข่งจักรยานถนน นักแข่งคนนี้อาจจะกำลังปั่นที่ความเร็วถึง 60 กม./ชม. ในภาพนี้ ผมเก็บภาพตัวแบบด้วย AI Servo AF และใช้ความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องที่ 14 fps กล้องสามารถจับภาพได้ 16 ช็อตในเวลาเกินหนึ่งวินาทีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และยังสามารถติดตามวัตถุและรักษาโฟกัสไว้ในระหว่างการถ่ายภาพได้ พื้นที่ AF ที่ผมเลือกคือ Large Zone AF (กึ่งกลาง)

 

 

 

 

 

 

 

 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ EOS-1D X Mark II ในการใช้งานภาคสนาม โปรดอ่าน:
รีวิวการใช้งาน (ตอนที่ 1): ความแม่นยำในการโฟกัสและสมรรถนะในการติดตามตัวแบบของ AF อันน่าทึ่ง
รีวิวการใช้งาน (ตอนที่ 2): Dual Pixel CMOS AF - โฟกัสยอดเยี่ยมแม้ในฉากที่มืด


นอกจากความยืดหยุ่นที่มากขึ้นในการเลือกพื้นที่ AF ดังตัวอย่างที่แสดงด้านบนแล้ว กล้อง EOS-1D X Mark II ยังมาพร้อมกลไกต่างๆ สำหรับการโฟกัสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการระบุและแยกความแตกต่างของตัวแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ EOS iTR AF ที่ให้ความสำคัญกับการจดจำสีของตัวแบบและใบหน้าของตัวแบบในภาพพอร์ตเทรต

EOS iTR AF จดจำสีและรูปร่างของตัวแบบหรือใบหน้าในภาพพอร์ตเทรตที่ตรวจพบโดยระบบ EOS iSA และรักษาโฟกัสที่ตัวแบบนี้โดยย้ายจุด AF ไปตามการเคลื่อนไหวของตัวแบบ

กล้อง EOS-1D X ใช้เซนเซอร์การวัดแสง RGB 100,000 พิกเซล สำหรับการจดจำดังกล่าว แต่ได้อัพเกรดเป็นเซนเซอร์การวัดแสง RGB+IR โดยมีความละเอียดที่ประมาณ 360,000 พิกเซลในกล้อง EOS-1D X Mark II เซนเซอร์การวัดแสงใหม่นี้สามารถตรวจจับใบหน้าที่มีขนาดเล็กกว่าแต่ก่อน และมีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับ เลือก AF อัตโนมัติ, Large Zone AF หรือโซน AF กรณีที่ไม่สามารถจดจำใบหน้าได้ กล้องจะหาโฟกัสโดยตรวจจับสีและรูปร่างของตัวแบบ

นอกจากเซนเซอร์การวัดแสงแล้ว AI Servo สำหรับขับเคลื่อน AF ตามการเคลื่อนไหวของตัวแบบยังได้รับการอัพเกรดจาก AI Servo AF III เป็น AI Servo AF III+ อัลกอริทึมการขับเคลื่อน AF ของ AI Servo AF III+ ยังได้รับการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้สามารถคงการติดตามได้อย่างต่อเนื่องเมื่อตัวแบบขยับเข้าหากล้องอย่างฉับพลันหรือขยับออกห่างจากกล้องอย่างรวดเร็ว

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อติดเลนส์ Canon ที่มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว (IS) เซนเซอร์จับความเร่งสำหรับเซนเซอร์ไจโรที่ตรวจจับการสั่นสะเทือนของระบบ IS จะย้ายจุด AF โดยกำหนดว่าการเคลื่อนไหวของกล้องเกิดจากช่างภาพติดตามวัตถุหรือเกิดจากอย่างอื่น นี่คือตัวอย่างอันยอดเยี่ยมที่แสดงให้เห็นว่าข้อเสนอแนะของช่างภาพมืออาชีพที่อ้างอิงจากประสบการณ์ในสถานที่จริงได้ถูกนำมาพิจารณาในขณะที่ทำการออกแบบ

คุณสมบัติอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลือกสมดุลแสงขาวอัตโนมัติ (เน้นบรรยากาศ) ที่ใช้ประโยชน์จากโทนสีอุ่นของแหล่งกำเนิดแสง เช่น หลอดไฟ รวมถึงคุณสมบัติการถ่ายภาพแบบ Anti-flicker ที่ลดความไม่สม่ำเสมอของแสงหรือสีด้วยการตรวจจับแสงที่สั่นไหวในแสงฟลูออเรสเซนต์เมื่อถ่ายภาพภายใต้แหล่งกำเนิดแสง อย่างเช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์

 

จุด AF ที่วางซ้อนในภาพจะสว่างเป็นสีแดงเมื่อกำหนดโฟกัสได้แล้ว เพื่อให้มองเห็นโฟกัสได้ง่ายในสถานที่ที่มีแสงน้อย

ช่องมองภาพมีความครอบคลุมประมาณ 100% และมีกำลังขยายประมาณ 0.76 เท่า นอกจากข้อมูลที่ขอบช่องมองภาพรวมทั้งในหน้าจอ LCD ที่ด้านล่าง เช่น ประเภทไฟล์ภาพ โหมดการถ่ายภาพและค่าการเปิดรับแสงแล้ว คุณยังสามารถแสดงเส้นตาราง การตั้งค่า กรอบ AF และจุด AF ที่เลือกในหน้าจอ LCD ในตัวได้ เมื่อกำหนดโฟกัสได้แล้ว จุด AF จะวางซ้อนบนภาพและสว่างขึ้่นเป็นสีแดง คุณสมบัตินี้เคยมีอยู่ในกล้องรุ่นก่อนๆ จนถึงรุ่น EOS-1D Mark IV แต่ถูกตัดออกไปในกล้องรุ่น EOS-1D X การมีคุณสมบัตินี้ทำให้ง่ายต่อการระบุว่ากำหนดโฟกัสได้หรือไม่เมื่อถ่ายภาพในสถานที่ซึ่งมีแสงน้อย ซึ่งผมดีใจมากที่มีการนำคุณสมบัตินี้กลับมาใช้ใหม่ในกล้อง EOS-1D X Mark II ตัวอย่างด้านบนมีขอบมืดปรากฏอยู่ในภาพช่องมองภาพ แต่ทั้งนี้เนื่องจากผมถ่ายภาพนี้ด้วยกล้องตัวอื่นเพื่อใช้เป็นภาพประกอบ

 

คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าสำหรับโหมดการถ่ายภาพ โหมดวัดแสง สมดุลแสงขาว โหมดขับเคลื่อน การโฟกัสอัตโนมัติ และการตรวจจับแสงที่สั่นไหวได้จากหน้าจอของช่องมองภาพ

 

จอ LCD ที่นำมาใช้เป็นจอ Clear View LCD II 3.2 นิ้ว มุมกว้างขนาดใหญ่ความละเอียดสูงประมาณ 1.62 ล้านจุด นอกจากนี้ยังเป็นกล้อง EOS-1D รุ่นแรกที่มาพร้อมหน้าจอ LCD ด้านหลังที่เป็นแบบสัมผัส อย่างไรก็ตาม ฟังก์ชั่นหน้าจอสัมผัสสามารถใช้เพื่อย้ายจุด AF และขยายหน้าจอระหว่างการถ่ายภาพ Live View หรือเพื่อย้ายจุด AF ไปยังตำแหน่งอื่นภายในพื้นที่ AF ขณะอยู่ในโหมด AF [FlexiZone – จุดเดียว] เท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นชัตเตอร์แบบสัมผัสได้

 

กล้อง EOS DSLR ที่มีความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด

ในขณะที่กล้อง EOS-1D X มีความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุดที่ 12 fps กล้อง EOS-1D X Mark II ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ขึ้นอีกครั้งโดยเพิ่มความเร็วสูงสุดเป็น 14 fps เมื่อเปิดใช้งานการติดตาม AF และ AE (ความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุดระหว่างการถ่ายภาพ Live View คือ 16 fps โดยกำหนด AF และ AE ไว้ที่เฟรมแรก) ปรากฏการณ์ครั้งใหม่นี้เกิดขึ้นได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีกล้องที่ล้ำสมัยมากมาย ซึ่งได้แก่วิธีการขับเคลื่อนกระจกแรงกระแทกต่ำที่พัฒนาขึ้นใหม่ การอ่านค่าสัญญาณความเร็วสูงจากเซนเซอร์ CMOS และการใช้ระบบประมวลผลภาพ DIGIC 6+ สองชุด

สามารถตั้งความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องได้อย่างอิสระเป็นอัตราเฟรมเท่าใดก็ได้ตั้งแต่ 2 ถึง 14 fps ระหว่างการถ่ายภาพด้วยช่องมองภาพ และ 16 fps หรือระหว่าง 2 ถึง 14 fps ในระหว่างการถ่ายภาพ Live View

 

วิดีโอ: แสดงกระบวนการถ่ายภาพต่อเนื่อง

 

เสียงชัตเตอร์ยังเบากว่ารุ่น EOS-1D X ค่อนข้างมากในระหว่างการถ่ายภาพเคลื่อนไหว แม้จะถ่ายภาพด้วยความเร็วสูง แต่การสั่นสะเทือนที่รู้สึกได้ผ่านมือที่ถือกล้องอยู่นั้นมีน้อยมาก ความเร็วในการเขียนไปยังการ์ด CFast 2.0 ระหว่างการบันทึกเป็นภาพ RAW+JPEG ที่ทำพร้อมกันได้ก็เร็วอย่างน่าทึ่ง หากคุณเขียนเป็นรูปแบบ JPEG Large เพียงอย่างเดียว คุณสามารถลั่นชัตเตอร์ต่อไปได้โดยไม่มีการหยุดชะงักจนกว่าเนื้อที่ของการ์ดหน่วยความจำจะเต็ม

(เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการถ่ายภาพต่อเนื่อง ผมได้ตั้งกล้องไปที่โหมดแมนนวล, MF, รูรับแสงกว้างสุด, ISO 100 และความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/2,500 วินาที)

 

เปลี่ยนรูปทรงของกริปและปลายด้านบน

ขนาดภายนอกและน้ำหนักของกล้อง EOS-1D X Mark II อยู่ที่ประมาณ 158.0 × 167.6 × 82.6 มม. และ 1,530 กรัมตามลำดับ ซึ่งเกือบเท่าๆ กันกับขนาดและน้ำหนักของกล้อง EOS-1D X ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 158.0 × 163.6 × 82.7 มม และ 1,530 กรัม (ตามมาตรฐาน CIPA ซึ่งรวมแบตเตอรี่และสื่อบันทึกข้อมูลแล้ว) เมื่อถืออยู่ในมือ กล้องทั้งสองรุ่นให้ความรู้สึกแทบไม่ต่างกันทั้งในเรื่องของน้ำหนักและขนาด แต่กริบของกล้องรุ่นใหม่ถูกปรับให้เพรียวบางขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ผู้ใช้ที่มือเล็กจับถือกล้องได้มั่นคงยิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

 

แม้ว่ากริปอาจดูใหญ่สำหรับผู้ใช้ที่มือเล็ก เช่น ผู้หญิง แต่ก็สามารถจับถือได้อย่างมั่นคง และเหมาะสำหรับการถ่วงน้ำหนักเลนส์ที่หนักกว่า สำหรับผมแล้วนั้น ผมไม่รู้สึกเมื่อยเมื่อต้องถือกล้องถ่ายภาพเป็นเวลานานๆ

 

การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ที่เด่นชัดที่สุดน่าจะเป็นสี่เหลี่ยมด้านบนกล้องที่ยื่นออกมา ซึ่งมีไว้สำหรับเก็บสายอากาศ GPS ในตัวกล้อง ในขณะที่กล้อง EOS-1D X ต้องมีเครื่องรับสัญญาณ GPS ภายนอก แต่สำหรับกล้อง EOS-1D X Mark II นั้นไม่จำเป็นอีกต่อไปเพราะมีสายอากาศ GPS ในตัวอยู่แล้ว

 

สายอากาศ GPS ในตัว

สายอากาศ GPS ในตัวกล้องใช้งานได้กับดาวเทียมสามระบบคือ ดาวเทียม GPS (USA) ดาวเทียม GLONASS (รัสเซีย) และ Quasi-Zenith Satellite System (QZSS) MICHIBIKI ของญี่ปุ่น กล้องสามารถรับข้อมูลการระบุตำแหน่งที่มีความแม่นยำสูงได้จากการจับสัญญาณมากมายจากดาวเทียมเหล่านี้ ซึ่งจากนั้นจะเขียนลงในภาพที่ถ่ายในรูปแบบ Exif (คุณสามารถเลือกที่จะปิดใช้งานการตั้งค่าให้กล้องรับข้อมูลการระบุตำแหน่งได้เช่นกัน)

ฟังก์ชั่นการบันทึกข้อมูล GPS มีสองโหมดคือ ในโหมด 1 กล้องจะรับสัญญาณ GPS เป็นช่วงๆ แม้เมื่อปิดสวิตช์กล้อง และข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้เมื่อเปิดสวิตช์กล้อง ในโหมด 2 ฟังก์ชั่นการบันทึกข้อมูล GPS จะปิดด้วยเมื่อปิดสวิตช์กล้อง เมื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นจดบันทึกค่า GPS กล้องจะรับข้อมูลการระบุตำแหน่งเป็นช่วงๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้คุณแสดงเส้นทางที่กล้องได้เดินทางไปบนแผนที่โดยใช้ซอฟต์แวร์ Map Utility

 

ตอนนี้สวิตช์การถ่ายภาพ Live View/การบันทึกภาพเคลื่อนไหว มีก้านสำหรับสลับระหว่างภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวแล้ว

กล้อง EOS-1D X Mark II มาพร้อมปุ่มต่างๆ เช่น วงแหวนควบคุมหลัก วงแหวน Quick Control และปุ่มชัตเตอร์ เหมือนกับกล้อง EOS-1D X ซึ่งทำให้สามารถเข้าใช้งานคุณสมบัติต่างๆ ได้โดยตรง ดังนั้นผู้ใช้จะไม่รู้สึกว่าการใช้งานกล้องซับซ้อนเมื่อเปลี่ยนจากรุ่นก่อนหน้ามาเป็นรุ่นนี้ นอกจากนั้น ขณะนี้สวิตช์การถ่ายภาพ Live View/การบันทึกภาพเคลื่อนไหว ยังออกแบบให้เป็นก้านสำหรับสลับระหว่างภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเหมือนกับรุ่นอื่นๆ เช่น EOS 5D Mark III ในขณะเดียวกันรูปทรงของจอยสติ๊กยังเปลี่ยนจากแบบที่มีปลายแหลมเป็นมีพื้นผิวราบเรียบที่ช่วยให้สัมผัสกับปุ่มนูนบนนิ้วมือได้ใกล้ชิดขึ้น

 

วงแหวนและปุ่มควบคุมอยู่ด้านเดียวกันกับกริปแนวตั้ง รูปทรงของกริปสำหรับวางมือได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ และปุ่ม M-Fn ถูกย้ายมาอยู่หน้าวงแหวนควบคุมหลักแล้วในตอนนี้ นอกจากนั้น สวิตช์เปิด/ปิดกริปแนวตั้งยังถูกย้ายลงมาด้านล่างโดยมีช่องต่อรีโมทคอนโทรล (รองรับรีโมทคอนโทรลประเภท N3) อยู่ด้านบน

 

แม้ว่าปุ่มเริ่ม AF บนกริปแนวตั้ง ปุ่มล็อค AE บนกริปแนวตั้ง และปุ่มเลือกจุด AF บนกริปแนวตั้งจะจัดเรียงไว้ตามลำดับเดียวกับเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ปุ่มเริ่ม AF บนกริปแนวตั้งถูกวางไว้ห่างจากอีกสองปุ่มเล็กน้อย การจัดวางปุ่มลักษณะนี้มีความคล้ายคลึงอย่างมากกับระยะห่างระหว่างปุ่มสามปุ่มที่สอดคล้องกันในแนวนอน ผู้ใช้จึงสามารถใช้งานกล้องได้ในลักษณะที่คล้ายกัน ไม่ว่าจะถือกล้องในแนวนอนหรือแนวตั้ง

 

จอ LCD ด้านหลังรวมถึงปุ่มใต้จอ LCD ด้านหลังยังคงเดิมเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นปุ่มเลือกการ์ด/ขนาดภาพที่ปรับเลื่อนขึ้นเล็กน้อย

 

ปุ่มปรับแก้สายตาและก้านชัตเตอร์เลนส์ใกล้ตาจะปรากฏให้เห็นเมื่อถอดยางรองตาออก ในบรรดากล้องรุ่นต่างๆ ของ Canon กล้องรุ่น EOS-1D คือกล้องระดับเดียวที่มาพร้อมชัตเตอร์เลนส์ใกล้ตาสำหรับปิดแสงภายนอกที่เข้ามาจากช่องมองภาพ

 

กล้อง EOS-1D X Mark II มาพร้อมช่องใส่การ์ดสองช่อง ช่องแรกสำหรับใส่การ์ด CF ซึ่งสนับสนุนโหมด UDMA 7 ส่วนอีกช่องสำหรับใส่การ์ด CFast 2.0 ซึ่งรองรับการเขียนด้วยความเร็วสูง ช่องใส่การ์ดแต่ละช่องสามารถกำหนดค่าเป็น [มาตรฐาน], [เปลี่ยนการ์ดอัตโนมัติ], [บันทึกแยกจากกัน] หรือ [บันทึกไว้บนหลายสื่อ] เมื่อเขียนข้อมูลภาพ ช่องใส่การ์ด CFast 2.0 และการ์ด CF ไม่สามารถสลับช่องใส่กันได้ ดังนั้นจึงสามารถใส่การ์ด CF และการ์ด CFast 2.0 ได้ครั้งละหนึ่งอันเท่านั้น

 

อินเทอร์เฟซที่แตกต่างบนกล้อง – ช่องต่ออีเทอร์เน็ต RJ-45 (IEEE 802.3u) ช่องต่อ HDMI mini OUT และช่องต่อดิจิตอลที่ใช้ได้กับ USB 3.0 (SuperSpeed USB Micro B)

 

ช่องต่อขยายระบบ (อุปกรณ์ส่งไฟล์ภาพไร้สายสำหรับ WFT-E8B/WFT-E6B) ช่องต่อหูฟัง Φ3.5 มม. ช่องต่อ IN สำหรับไมโครโฟนเสริม Φ3.5 มม./ไลน์อินพุต และช่องต่อ PC

 

กล้องมาพร้อมแบตเตอรี่ LP-E19 และยังสามารถใช้ร่วมกับแบตเตอรี่ LP-E4N/LP-E4 ที่ใช้ในรุ่นอื่นๆ เช่น EOS-1D X ได้ด้วย

 

แท่นชาร์จแบตเตอรี่ LC-E19 รองรับการชาร์จแบตเตอรี่พร้อมกันสองก้อน โดยมีไฟแสดงสถานะการชาร์จรวมทั้งระยะเวลาที่ใช้ได้โดยประมาณ นอกจากนี้ แท่นชาร์จยังมีคุณสมบัติการปรับเทียบสำหรับปล่อยประจุไฟที่เหลืออยู่ รวมถึงคุณสมบัติที่ตรวจสอบการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ อีกทั้งยังสามารถใช้สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ LP-E4N/LP-E4 ได้ด้วย

 

ภาพถ่ายด้วยความเอื้อเฟื้อจากการแข่งขัน JCBF Gunma CSC Road Race ครั้งที่ 8

 

 

Koichi Isomura

 

เกิดเมื่อปี 1967 ที่จังหวัดฟุกุโอะกะ Koichi จบการศึกษาจากโรงเรียนอาชีวศึกษาด้านการถ่ายภาพในกรุงโตเกียว หลังจากทำงานในวงการผลิตโฆษณา จึงผันตัวมาเป็นช่างภาพอิสระ เขาถ่ายภาพตัวแบบหลากหลายประเภทตั้งแต่พอร์ตเทรตไปจนถึงผลิตภัณฑ์ สถาปัตยกรรม โรงละคร และอื่นๆ อีก ในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ เขาได้จัดนิทรรศการหลายแห่ง โดยมุ่งเน้นภาพถ่ายเกี่ยวกับธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์

 

Digital Camera Watch

 

ส่งข่าวสารรายวันเกี่ยวกับเรื่องราวของกล้องดิจิตอลและอุปกรณ์เสริมต่างๆ รวมถึงซอฟต์แวร์ตกแต่งภาพ นอกจากนี้ยังเผยแพร่บทความต่างๆ เช่น รีวิวการใช้กล้องดิจิตอลจริงพร้อมตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องรุ่นใหม่ๆ

http://dc.watch.impress.co.jp/

แบ่งปันภาพถ่ายของคุณใน My Canon Story แล้วร่วมลุ้นโอกาสเผยแพร่ผลงานบนโซเชียลมีเดียของเรา