หากคุณเป็นช่างภาพนิ่งและวิดีโอหรือชื่นชอบการถ่ายวิดีโอด้วยกล้อง DSLR หรือกล้องมิเรอร์เลส กล้องซีรีย์ Cinema EOS จาก Canon อาจดูเหมือนกล้องอีกระดับที่เทียบกันไม่ได้โดยสิ้นเชิง นี่คือซีรีย์กล้องที่ออกแบบมาเพื่อการผลิตวิดีโอระดับมืออาชีพ เช่น ภาพยนตร์ มิวสิควิดีโอ และรายการโทรทัศน์ ซึ่งคุณอาจจะไม่พบเห็นในร้านจำหน่ายกล้องทั่วไป แต่กล้องรุ่นใหม่รุ่นหนึ่งจะช่วยลดช่องว่างนี้ได้ นั่นคือ EOS C70 ที่มีขนาดค่อนข้างกะทัดรัดและราคาย่อมเยา อีกทั้งยังเป็นกล้อง Cinema EOS รุ่นแรกที่มีเมาท์ RF อีกด้วย
หากอยากทราบว่ากล้องถ่ายภาพยนตร์อย่าง EOS C70 แตกต่างจากกล้อง DSLR หรือกล้องมิเรอร์เลสอย่างไร และทำไมคุณจึงควรลองหามาใช้หากคุณวางแผนที่จะยกระดับการผลิตวิดีโอขึ้นไปอีกขั้น มาหาคำตอบได้จากบทความนี้
- ข้อมูลเบื้องต้น: Cinema EOS ระบบกล้องที่ปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์
- Super 35 มม. คืออะไร
- Canon Log คืออะไรและส่งผลต่อคุณภาพของภาพอย่างไร
- ปัจจัยที่มีผลต่อเวลาในการบันทึกวิดีโอจริง
- ความสามารถในการโฟกัสอัตโนมัติที่ “สร้างมาเพื่อวิดีโอ”
- ความสำคัญของฟิลเตอร์ ND
- เลนส์ที่รองรับ
- สรุป: คุณควรซื้อกล้องถ่ายภาพยนตร์หรือไม่
ข้อมูลเบื้องต้น: Cinema EOS ถือได้ว่าเป็นระบบกล้องที่ปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์
เมื่อครั้งที่ EOS 5D Mark II เปิดตัวไปในปี 2008 กล้องรุ่นนี้รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Full HD พร้อมทั้งประสิทธิภาพด้านความไวแสง ISO สูงและความสามารถในการแสดงภาพที่มีระยะชัดตื้นอันน่าจดจำด้วยเซนเซอร์ภาพขนาดฟูลเฟรม 35 มม. คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้กล้องเป็นที่นิยมอย่างมากและโด่งดังถึงระดับแถวหน้าของวงการฮอลลีวู้ด แต่กล้องนี้ยังคงถือเป็นรุ่นที่สร้างขึ้นมาเพื่อถ่ายภาพนิ่งเป็นหลัก และไม่สามารถตอบโจทย์ข้อกำหนดอันเข้มงวดในการผลิตภาพยนตร์ระดับมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้ ทาง Canon จึงได้พัฒนาระบบกล้อง Cinema EOS ขึ้นมาซึ่งได้เปิดตัวไปในปี 2012 ด้วยรุ่น EOS C300 กล้องซีรีย์ใหม่นี้ใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของเซนเซอร์ภาพที่ค่อนข้างใหญ่ (เมื่อครั้งที่เซนเซอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในกล้องถ่ายทอดสดและกล้องถ่ายวิดีโอส่วนใหญ่เป็นเซนเซอร์ 2/3 นิ้ว) โดยนำมาใช้สำหรับการผลิตภาพยนตร์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ระดับมืออาชีพ
ในช่วงเวลานั้น กล้องถ่ายภาพยนตร์แบบดิจิตอลและเลนส์มีราคาแพงมาก และเป็นเรื่องปกติที่จะเช่าอุปกรณ์เหล่านี้แทนที่จะซื้อเป็นเจ้าของ กล้องระบบ Cinema EOS ได้ปฏิวัติวงการถ่ายภายด้วยการเป็นผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูงในราคาที่ค่อนข้างต่ำลง ตลอดจนสามารถรองรับเลนส์ EF ซึ่งมีราคาย่อมเยากว่าเลนส์ถ่ายภาพยนตร์ในท้องตลาดอยู่มาก ด้วยเหตุนี้ กล้องถ่ายภาพยนตร์แบบดิจิตอลที่มีเซนเซอร์ขนาดใหญ่ยิ่งกว่าที่เคยจึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
ในปัจจุบัน กล้องระบบ Cinema EOS ประกอบด้วยกล้องหลากหลายรุ่นเพื่อตอบโจทย์การผลิตระดับต่างๆ ตั้งแต่รุ่นกะทัดรัดที่สร้างขึ้นเพื่อการสร้างภาพยนตร์คนเดียวและต้องใช้ความเร็ว ไปจนถึงรุ่นขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการในการผลิตที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น นอกจากการสร้างภาพยนตร์และการถ่ายวิดีโอแล้ว ขณะนี้กล้อง Cinema EOS ยังถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับถ่ายวิดีโอภาพเคลื่อนไหวรูปแบบอื่นๆ เช่น คอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียและการไลฟ์สด
![](https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-25/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-02.jpg)
กลุ่มผลิตภัณฑ์ Cinema EOS ประกอบด้วยกล้องถ่ายภาพยนตร์หลายรูปแบบ ตั้งแต่ EOS C300 Mark III ที่มีเซนเซอร์ภาพ DGO แบบ Super 35 มม. ไปจนถึง EOS C700 FF รุ่นเรือธงที่มีเซนเซอร์ภาพแบบฟูลเฟรม
![](https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-25/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-03b.jpg)
EOS C70 ที่เปิดตัวไปในปี 2020 เป็นกล้อง Cinema EOS รุ่นแรกที่มีเมาท์ RF อีกทั้งมีขนาดกะทัดรัดและราคาค่อนข้างย่อมเยาสำหรับกล้องถ่ายภาพยนตร์ด้วยราคาราวๆ กับกล้อง DSLR รุ่นเรือธงจาก Canon ทำให้กล้องรุ่นนี้เป็นกล้องถ่ายภาพยนตร์แบบดิจิตอลรุ่นแรกในอุดมคติ
1. Super 35 มม. คืออะไร
กล้อง EOS C70 มาพร้อมเซนเซอร์ภาพ DGO แบบ Super 35 มม. ความละเอียด 4K คุณอาจเคยเห็นคำนี้ใช้อธิบายขนาดเซนเซอร์ของกล้องถ่ายภาพยนตร์แบบดิจิตอลอยู่บ่อยครั้ง แต่จริงๆ แล้ว Super 35 มม. คืออะไรกันแน่
Super 35 มม. คือขนาดเซนเซอร์มาตรฐานในกล้องถ่ายภาพยนตร์ เช่นเดียวกับที่ฟูลเฟรมเป็นขนาดเซนเซอร์มาตรฐานในการถ่ายภาพนิ่ง ที่จริงแล้ว รูปแบบฟูลเฟรมนั้นเกิดขึ้นจากการนำม้วนฟิล์ม 35 มม. มาใช้ เหล่าวิศวกรต้องการสื่อบันทึกที่เหมาะสมเพื่อสร้างกล้องถ่ายภาพนิ่งที่ใช้งานง่ายและมีราคาย่อมเยา พวกเขาค้นพบคำตอบจากการตัดฟิล์มภาพยนตร์ 35 มม. ซึ่งขณะนั้นอยู่ในระหว่างการผลิตปริมาณมากอยู่แล้ว จากนั้นนำมาใส่ในรูปแบบคาร์ทริดจ์กะทัดรัด
ฟูลเฟรมกับ Super 35 มม.: ความแตกต่างที่สำคัญ
ทั้ง Super 35 มม. และแบบฟูลเฟรมใช้ฟิล์มที่มีความกว้าง 35 มม. แต่ความแตกต่างอยู่ที่การวางแนวในการบันทึก ซึ่งสะท้อนถึงวิธีที่ฟิล์มถูกป้อนผ่านกล้อง
Super 35 มม.
แต่ละภาพถูกบันทึกในแนวตั้งเหนือภาพก่อนหน้าเพื่อให้ปลายฝั่งยาวของแต่ละภาพขนานกับขอบ 35 มม. ของฟิล์ม ปลายฝั่งยาวนี้วัดได้ประมาณ 24 มม. หลังจากคำนวณรอยปรุด้านข้างแล้ว ภาพแต่ละภาพมีอัตราส่วน 16:9 หรือ 1.9:1 ดังนั้นภาพที่ได้จึงคล้ายกับที่บันทึกจากเซนเซอร์ APS-C ในโหมด 16:9
ฟูลเฟรม 35 มม.
แต่ละภาพถูกบันทึกในแนวนอนข้างภาพก่อนหน้าเพื่อให้ขอบด้านสั้นของภาพขนานกับด้านกว้าง 35 มม. ของฟิล์ม ขนาดของภาพที่ได้คือสิ่งที่ปัจจุบันนี้เราเรียกกันว่า แบบฟูลเฟรม 35 มม.
พิกเซลของเซนเซอร์ภาพ: ตัวเลขบอกเล่าเรื่องราวเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
EOS C70 มีเซนเซอร์ภาพแบบ Super 35 มม. พร้อมความละเอียดประมาณ 8.85 ล้านพิกเซล ขณะที่ EOS R5 มีเซนเซอร์ภาพแบบฟูลเฟรม พร้อมความละเอียดประมาณ 45 ล้านพิกเซล เนื่องจากกล้องทั้งสองรุ่นมีเมาท์แบบเดียวกัน จึงเห็นความแตกต่างด้านขนาดได้อย่างชัดเจนในภาพด้านบน
ข้อพิจารณาที่ 1: การถ่ายภาพแบบ 8K
หากพิจารณาขนาดภาพเพียงอย่างเดียว EOS R5 ถือเป็นตัวเลือกที่ชัดเจนหากคุณต้องการบันทึกวิดีโอระดับ 8K ซึ่งต้องใช้เซนเซอร์ที่บันทึกภาพด้วยความกว้างประมาณ 8,000 พิกเซล แต่อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งก่อนที่ความละเอียดระดับ 8K และเทคโนโลยีที่รองรับจะมีการพัฒนาเต็มที่และสามารถเข้าถึงได้มากพอที่จะทำให้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จนกว่าจะถึงตอนนั้น แม้คุณจะถ่ายภาพแบบ 8K แต่ก็ยังอาจต้องแปลงภาพให้เป็น 4K อยู่ เซนเซอร์ภาพของ EOS C70 รองรับการบันทึก 4K DCI (4096 × 2160 หรือ 8,847,360 พิกเซล) ซึ่งยังคงถือเป็นเรื่องปกติและจะเป็นเช่นนี้ไปอีกระยะหนึ่ง
ข้อพิจารณาที่ 2: วิธีการสร้างไฟล์วิดีโอ 4K คุณภาพสูง
เมื่อใช้กล้อง EOS R5 คุณสามารถสุ่มวิดีโอ 8.2K ด้วยความถี่สูงเพื่อสร้างวิดีโอ 4K ที่มีคุณภาพสูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้ส่งผลให้ระบบประมวลผลภาพอาจเกิดความร้อนสูงเกินไปและสูญเสียคุณภาพของภาพเมื่อผ่านไปเป็นระยะเวลานานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจาก EOS R5 ไม่มีระบบทำความเย็นเหมือน EOS C70 ในขณะเดียวกัน เมื่อบันทึกไฟล์วิดีโอ 4K 8.85 ล้านพิกเซล EOS C70 มีการอ่านพิกเซลเต็มรูปแบบซึ่งจะอ่านผลลัพธ์จากแต่ละพิกเซลทีละจุดโดยไม่มีการรวมพิกเซลเข้าด้วยกัน ทำให้ได้ภาพ 4K คุณภาพสูงแม้จะไม่ได้ทำการสุ่มด้วยความถี่สูง
เซนเซอร์ DGO คืออะไร
EOS C70 มาพร้อมเทคโนโลยีเซนเซอร์ Dual Gain Output (DGO) ที่พลิกโฉมวงการ ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกใน EOS C300 Mark III เซนเซอร์นี้ใช้การอ่านผลที่แตกต่างกันสองแบบจากพิกเซลภาพหนึ่งจุดในแบบเรียลไทม์ การอ่านผลแต่ละแบบจะขยายส่วนภาพด้านหนึ่ง จึงเป็นที่มาของคำว่า “dual gain” โดยที่การอ่านผลแบบหนึ่งขยายความอิ่มตัวของสี (saturation-prioritising gain) ซึ่งจะรักษาความอิ่มตัวของสีและรายละเอียดในส่วนที่สว่าง ขณะที่การอ่านผลอีกแบบจะเน้นจุดรบกวนที่น้อยลง (noise-prioritising gain) ซึ่งจะรักษารายละเอียดในส่วนเงาและส่วนที่มืด การรวมการอ่านผลทั้งสองแบบจะสร้างฟุตเทจ HDR สีสันสดใสซึ่งมีจุดรบกวนที่สังเกตเห็นได้อยู่น้อย
ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายเชิงเทคนิคโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทำงานของเซนเซอร์ DGO (ฉบับภาษาอังกฤษ)
2. Canon Log คืออะไรและส่งผลต่อคุณภาพของภาพอย่างไร
สำหรับการถ่ายวิดีโอ การเก็บรายละเอียดในส่วนที่สว่างและส่วนเงาจะขึ้นอยู่กับช่วงไดนามิกเรนจ์เช่นเดียวกับการถ่ายภาพนิ่ง
ในการถ่ายภาพนิ่ง วิธีการสร้างภาพ High Dynamic Range (HDR) แบบดั้งเดิมจะเป็นการรวมภาพซ้อนที่ถ่ายคร่อมอย่างน้อย 3 ภาพเข้าด้วยกัน ภาพที่ถ่ายคร่อมจะได้รับแสงสำหรับส่วนที่สว่าง โทนน้ำหนักกลาง และเงาตามลำดับ และเมื่อรวมทั้งสามอย่างเข้าด้วยกันจะเพิ่มช่วงไดนามิกเรนจ์ของภาพที่ได้
แต่เมื่อบันทึกวิดีโอ จะไม่สามารถถ่ายคร่อมทุกเฟรมได้ (ถึงแม้เซนเซอร์ DGO จะทำงานในลักษณะที่คล้ายกัน) เฟรมที่บันทึกแต่ละเฟรมต้องมีช่วงไดนามิกเรนจ์ที่กว้างอยู่แล้ว ซึ่งวิธีการหนึ่งที่ทำได้คือผ่านการบันทึก Log
การบันทึก Log ทำงานอย่างไร
ปริมาณแสงที่เข้าสู่พิกเซลภาพแต่ละจุด (Photosite) จะสร้างสัญญาณอะนาล็อกที่ต้องแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอล ในระหว่างการแปลง กล้องจำเป็นต้องกำหนดวิธีบันทึกการแมปโทนสี (ความสว่าง) ที่จะบันทึกตามความเข้มของแสงที่ตรวจจับได้ “แมป” นี้คือโหมดแกมมา
กล้องวิดีโอส่วนใหญ่ใช้แกมมาที่เรียกว่า Rec.709 ซึ่งแมปแสงบนเส้นโค้งที่ค่อนข้างเป็นแนวตรง Rec.709 ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในโทรทัศน์และจอแสดงผล อีกทั้งช่วยให้สามารถดูภาพได้อย่างน่าพึงพอใจ แม้จะเปิดดูฟุตเทจที่บันทึกโดยไม่ผ่านการปรับแต่งภาพ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Rec.709 ไม่มีช่วงไดนามิกเรนจ์ที่กว้างมาก จึงแสดงรายละเอียดในส่วนที่สว่างและส่วนเงาได้ไม่ดีมากนัก
![]( https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-25/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-08.jpg)
แต่ฟิล์มแบบเงินเฮไลด์ที่ใช้ในทั้งการถ่ายภาพนิ่งและการถ่ายทำภาพยนตร์นั้นขึ้นชื่อเรื่องคุณสมบัติภาวะไวแสงอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสามารถแสดงโทนสีช่วงต่างๆ (ช่วงไดนามิกเรนจ์กว้าง) ตั้งแต่ส่วนที่สว่างไปยังส่วนเงา ซึ่งให้ละติจูด (ปริมาณการรับแสงมากเกินไปหรือน้อยเกินไปที่สามารถฟื้นฟูรายละเอียดได้) ที่มากขึ้น และจะมีการสร้างแกมมา Log เพื่อถ่ายทอดลักษณะความไวแสงของฟิล์มในแบบดิจิตอล
“แต่ฟุตเทจ Canon Log ดูราบเรียบไร้มิติเกินไป…”
ฟุตเทจที่บันทึกในแกมมา Log อย่าง Canon Log มีช่วงไดนามิกเรนจ์ที่กว้าง แต่คุณอาจสังเกตเห็นว่าค่อนข้างมีความอิ่มตัวต่ำและความเปรียบต่างต่ำ สภาพที่เป็นกลางเช่นนี้ทำให้ฟุตเทจสามารถรักษาข้อมูลโทนสีได้มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนเงาและส่วนที่สว่างมาก ด้วยเหตุนี้ คุณจึงมีละติจูดมากขึ้นเมื่อปรับแก้สีในขั้นตอนการปรับแต่งภาพ ซึ่งเป็นกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการทำให้ผลงานของคุณมีลุคและบรรยากาศที่โดดเด่น
Rec.709
![]( https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-25/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-09.jpg)
ฟุตเทจที่ถ่ายด้วยแกมมา Rec.709 แบบดั้งเดิม การเปิดรับแสงสำหรับตัวม้าและคนทำให้ภูเขาและท้องฟ้าในแบ็คกราวด์ดูสว่างโพลน
Canon Log
![](https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-25/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-10.jpg)
เมื่อใช้ Canon Log โทนสีภูเขาและท้องฟ้าในแบ็คกราวด์ถูกถ่ายทอดออกมา ซึ่งแสดงให้เห็นข้อมูลโทนสีมากมายที่บันทึกไว้
Canon Log (แบบปรับแก้สีแล้ว)
![](https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-25/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-11.jpg)
การปรับแก้สีจะปรับสีและโทนสีในฟุตเทจให้ถ่ายทอดความสวยงามของภาพตามที่ต้องการ ข้อมูลโทนสีมากมายที่ถูกบันทึกไว้ยังช่วยให้ถ่ายทอดภาพได้อย่างอิสระมากขึ้น
Canon Log, Canon Log 2 และ Canon Log 3: แตกต่างกันอย่างไร
ในกล้องซีรีย์ Cinema EOS นั้น มีแกมมา Canon Log ที่แตกต่างกันอยู่สามแบบ กล้อง EOS C70 มี Canon Log 2 และ Canon Log 3 ขณะที่กล้อง EOS R5 และ EOS R6 มาพร้อมกับ Canon Log และ Canon Log 3 จากทั้งสามแบบ Canon Log 2 จะได้ช่วงไดนามิกเรนจ์ที่กว้างที่สุด
|
|
ช่วงไดนามิกเรนจ์ | ประมาณ 12 สต็อป 800% |
คุณสมบัติเด่น | ปรับแก้สีได้ง่ายขึ้นเนื่องจากคุณภาพของภาพใกล้เคียงกับ ITU-R BT.709 |
|
|
ช่วงไดนามิกเรนจ์ | ประมาณ 15 สต็อป (สำหรับเซนเซอร์ DGO ระดับ 4K ของกล้อง EOS C70: เทียบเท่าสูงสุด 16 สต็อปขึ้นไป) 1600% |
คุณสมบัติเด่น | มีลักษณะเฉพาะใกล้เคียงกับฟิล์ม ให้โทนสีที่สูงขึ้นในส่วนที่สว่างปานกลางถึงมืด |
|
|
ช่วงไดนามิกเรนจ์ | ประมาณ 13.3 สต็อป (สำหรับเซนเซอร์ DGO ระดับ 4K ของกล้อง EOS C70: เทียบเท่าสูงสุด 14 สต็อป) 1600% |
คุณสมบัติเด่น | รักษาข้อดีของ Canon Log ไว้ ทว่ามีช่วงไดนามิกเรนจ์ที่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่สว่าง |
เซนเซอร์ DGO แบบ Super 35 มม. ความละเอียด 4K ของกล้อง EOS C70 เพิ่มช่วงไดนามิกเรนจ์ขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งช่วยให้ได้ค่าเทียบเท่าสูงสุด 16 สต็อปขึ้นไปใน Canon Log 2 และเทียบเท่าสูงสุด 14 สต็อปใน Canon Log 3 ในแง่นี้เอง กล้อง EOS C70 จะเปิดโอกาสให้ปรับแต่งภาพมากขึ้นและถ่ายภาพเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างอิสระยิ่งขึ้น
สิ่งที่ควรรู้: สามารถรองรับแกมมา HDR อื่นๆ
กล้อง EOS C70 รองรับแกมมาอื่นๆ เช่น HDR PQ และ HLG ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปในการผลิตวิดีโอ HDR แม้ว่ากล้อง EOS DSLR และกล้องระบบ EOS R บางรุ่นจะรองรับการบันทึกภาพแบบ HDR PQ แต่ขณะนี้ยังไม่มีรุ่นที่รองรับ HLG ขณะที่ Canon Log รองรับกระบวนการปรับแต่งภาพที่จำเป็นต้องปรับแก้สีสำหรับผลงานสร้างสรรค์ที่ต้องการ แต่ HLG และ HDR PQ จะรองรับกระบวนการที่ไม่จำเป็นต้องปรับแก้สีสำหรับภาพผลงานในขั้นสุดท้าย
3. ปัจจัยที่มีผลต่อเวลาในการบันทึกวิดีโอจริง
เพราะเหตุใดกล้อง DSLR และกล้องมิเรอร์เลสจึงมีขีดจำกัดในการบันทึกวิดีโอ
1) ภาษีนำเข้า
บางภูมิภาคมีกฎหมายที่กำหนดให้ภาษีนำเข้ากล้องวิดีโอมีมูลค่าสูงกว่า (ฉบับภาษาอังกฤษ) กล้องถ่ายภาพ โดยที่ “กล้องวิดีโอ” ถูกกำหนดให้เป็นกล้องที่มีความสามารถในการบันทึกได้นานกว่า 30 นาที (ข้อบังคับนี้ถูกยกเลิก (ฉบับภาษาอังกฤษ) แล้ว) เพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพิ่มเติมและช่วยให้ราคาขายปลีกต่ำลง เวลาในการบันทึกในกล้อง DSLR และกล้องมิเรอร์เลสจึงถูกจำกัดไว้ไม่เกิน 30 นาที
2) ความร้อนสูงเกินไป
การบันทึกไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงสร้างภาระในการประมวลผลปริมาณมาก ซึ่งทำให้ระบบประมวลผลภาพร้อนขึ้น กล้องถ่ายภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้องระดับสูงๆ นั้นจะมีซีลป้องกันสภาพอากาศเพื่อป้องกันฝุ่นและละอองน้ำ แต่จะทำให้ระบายความร้อนออกได้ยากเช่นกัน
![]( https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-25/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-12.jpg)
ในทางตรงกันข้าม EOS C70 มีระบบระบายความร้อนแบบแอคทีฟ ซึ่งสังเกตได้ง่ายๆ จากช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ที่อยู่บนตัวกล้อง ระบบนี้ประกอบด้วยพัดลมและระบบระบายความร้อนในตัวที่จะช่วยทำความเย็นและขจัดความร้อนที่สะสมอยู่ภายในกล้อง ทำให้สามารถบันทึกได้อย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่แบตเตอรี่และพื้นที่หน่วยความจำของคุณเหลืออยู่ ระบบนี้จะแยกออกจากชิ้นส่วนที่ได้รับการซีลป้องกันสภาพอากาศของกล้องเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นและความชื้นเข้าไปภายในเซนเซอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ข้อควรรู้: ถ่ายภาพที่มีอัตราเฟรมสูงขึ้น
รูปแบบการบันทึกหลักของกล้อง EOS C70 มีดังนี้
4K DCI/UHD (XF-AVC/MP4) | YCC 4:2:2 10 บิต |
59.94p/50.00p/ 29.07p/25.00p/24.00p/23.98p |
2K DCI/FHD (XF-AVC/MP4) | ||
4K DCI/UHD (MP4) | YCC 4:2:0 10 บิต หรือ 8 บิต |
|
2K DCI/FHD (MP4) |
นอกจากนี้ กล้อง EOS C70 ยังรองรับการถ่ายภาพที่มีอัตราเฟรมสูงสุด 4K 120p พร้อมการติดตาม AF และการบันทึกเสียงอีกด้วย แทร็กเสียงจะถูกบันทึกลงในช่องใส่การ์ด SD อื่นไว้เป็นไฟล์แยกต่างหาก คุณจึงสามารถมีเสียงต้นฉบับได้แม้ว่าจะตัดต่อฟุตเทจเป็นคลิปแบบสโลโมชั่นก็ตาม และด้วยโหมดครอป 2K จึงทำให้อัตราเฟรมสูงถึง 180p
เคล็ดลับ: สัมผัสประสบการณ์การถ่ายภาพที่มีอัตราเฟรมสูงที่ดีที่สุด
EOS C70 มีช่องใส่การ์ด SD แบบคู่ คุณจึงสามารถใช้การ์ด SD ที่คุณมีอยู่แล้วได้ แต่เพื่อให้ได้รับประสบการณ์การบันทึกที่ดีที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบันทึกด้วยอัตราเฟรมที่สูงขึ้น ขอแนะนำให้ใช้การ์ด SD ที่มีความเร็วระดับ V90
4. ความสามารถในการโฟกัสอัตโนมัติที่ “สร้างมาเพื่อวิดีโอ”
คุณเคยได้ยินเรื่องคนหมุนโฟกัส (Focus Puller) ไหม
ในการผลิตภาพยนตร์และวิดีโอ นี่คือสมาชิกทีมงานคนสำคัญมากซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นคือ การควบคุมโฟกัสแบบออพติคอลของกล้องด้วยตนเอง อาจถือได้ว่าพวกเขาทำงานที่ยากที่สุดในกองถ่าย เนื่องจากปัญหาโฟกัสมักจะไม่สามารถแก้ไขได้ในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ ด้วยความละเอียดสูงพิเศษอย่าง 4K ทำให้แม้แต่ความเบลอที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยในโฟกัสก็ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากเทคโนโลยีนั้นมีประโยชน์มากทีเดียว แม้กระทั่งกับคนหมุนโฟกัสมือฉมัง! ดังนั้น ความสามารถในการโฟกัสอัตโนมัติ (AF) จึงมีความสำคัญอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
AF สำหรับวิดีโอ กับ AF สำหรับการถ่ายภาพ
ในการถ่ายภาพ ยิ่งจับโฟกัสที่ตัวแบบได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่ในวิดีโอนั้น การเปลี่ยนจุดโฟกัสจะถูกบันทึกไว้และอาจแม้กระทั่งมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดอารมณ์ภาพด้วย การสลับโฟกัสแบบฉับพลันทันทีอาจดูไม่ดีนัก คุณจึงมักต้องการให้การเปลี่ยนโฟกัสนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด
เช่นเดียวกับกล้อง EOS DSLR และกล้องมิเรอร์เลสรุ่นล่าสุด EOS C70 มีระบบ Dual Pixel CMOS AF ซึ่งใช้พิกเซลทั้งหมดบนเซนเซอร์ภาพ CMOS เพื่อทำหน้าที่ตรวจจับระยะ ความครอบคลุมของ AF นั้นกว้าง 80% × 80% ของเฟรมภาพ แต่ไม่เพียงเท่านั้น ระบบโฟกัสของกล้องยังได้รับการออกแบบโดยอ้างอิงการทำงานของคนหมุนโฟกัส นั่นคือ คุณสามารถปรับความเร็วในการโฟกัสได้ตั้งแต่เวลาที่ AF เริ่มทำงานไปจนถึงเมื่อจับโฟกัสไปที่ตัวแบบ จึงมั่นใจได้ว่าการเปลี่ยนจุดโฟกัสจะเป็นไปอย่างราบรื่น
ในทำนองเดียวกัน ระบบตรวจจับและติดตามตัวแบบด้วย EOS iTR AF X ซึ่งติดตั้งมาใน EOS C70 ด้วยนั้น ยังมีประโยชน์สำหรับการผลิตวิดีโอเช่นกัน ลองมาดูตัวอย่างฉากที่ตัวแบบหมุนตัวออกไปจากกล้องแล้วเริ่มวิ่ง อัลกอริทึมการตรวจจับศีรษะในกล้อง EOS C70 ซึ่งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก ช่วยให้มั่นใจได้ว่าโฟกัสจะอยู่กับที่แม้แต่ในขณะที่เปลี่ยนจากการตรวจจับใบหน้าเป็นการตรวจจับศีรษะ
![]( https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-25/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-13.jpg)
![]( https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-25/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-14.jpg)
5. ความสำคัญของฟิลเตอร์ ND
ขณะถ่ายวิดีโอ ความเร็วชัตเตอร์จะเป็นตัวกำหนดระยะเวลาที่แต่ละเฟรมจะเปิดรับแสง ความเร็วชัตเตอร์ที่ทำได้จะมีข้อจำกัดมากกว่าเมื่อเทียบกับการถ่ายภาพนิ่ง
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคืออัตราเฟรม คุณไม่สามารถตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ช้ากว่าอัตราเฟรมได้ แต่คุณก็ไม่สามารถตั้งค่าให้เร็วเกินไปได้เช่นกัน เนื่องจากการเคลื่อนไหวจะดูกระตุกเวลาเปิดดูภาพ ความเร็วชัตเตอร์ที่แนะนำให้ใช้คือ 1/(อัตราเฟรมหลายเฟรม) หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ หากอัตราเฟรมของคุณคือ 60 fps ความเร็วชัตเตอร์ควรอยู่ที่ 1/60 วินาทีหรือ 1/120 วินาทีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ด้วยขีดจำกัดเหล่านี้ การตั้งค่ารูรับแสงและความไวแสง ISO เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะควบคุมระดับแสงเมื่อถ่ายภาพกลางแจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้แสงอาทิตย์ที่สว่างจ้า ในสถานการณ์แบบนี้เองที่จำเป็นต้องมีฟิลเตอร์ ND นอกจากนี้ฟิลเตอร์ยังช่วยให้คุณสามารถเปิดรูรับแสงเพื่อให้ได้ระยะชัดที่ตื้นขึ้นโดยไม่ต้องกังวลกับการเปิดรับแสงมากเกินไป
![]( https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-25/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-16.jpg)
กล้อง EOS C70 มีชุดฟิลเตอร์ ND แบบกลไกในตัวพร้อมฟิลเตอร์ ND สามชนิด (เทียบเท่า 2, 4 และ 6 สต็อป) คุณยังสามารถใช้ฟิลเตอร์ต่างๆ ร่วมกันได้ในโหมดการขยาย โดยจะมีโหมดการปรับการเปิดรับแสงที่แตกต่างกัน 5 โหมดที่เทียบเท่าสูงสุด 10 สต็อป ได้แก่ 2, 4, 6, 8 (2+6) และ 10 (4+6) สต็อป
6. เลนส์ที่คุณใช้กับกล้อง EOS C70 ได้
เลนส์ RF รวมถึงเลนส์สำหรับกล้องฟูลเฟรม
เนื่องจากกล้อง EOS C70 ใช้เมาท์ RF คุณจึงมีกลุ่มเลนส์ RF ทั้งหมดให้เลือกใช้ ซึ่งรวมถึงเลนส์ RF ฟูลเฟรมแบบเดียวกับที่คุณใช้สำหรับการถ่ายภาพด้วยกล้องซีรีย์ EOS R ของคุณ อย่างไรก็ตาม ขนาดวงภาพที่ต่างกันของเซนเซอร์ Super 35 มม. และเซนเซอร์ฟูลเฟรมในกล้อง EOS C70 นั้นหมายความว่าจะมีคุณสมบัติการครอป 1.45 เท่า ซึ่งจะช่วยให้ได้มุมรับภาพที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับมุมที่คุณจะได้จากเซนเซอร์ขนาด APS-C ในการถ่ายภาพนิ่ง
![](https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-30/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-17b.jpg)
คุณสมบัติการครอปถือเป็นข้อได้เปรียบสำหรับฉากที่คุณต้องการเข้าใกล้ตัวแบบมากขึ้น แต่ก็เป็นข้อเสียเช่นกันเมื่อถ่ายภาพในมุมกว้าง ผู้สร้างภาพยนตร์จะคุ้นเคยกับคุณสมบัตินี้อยู่แล้วเนื่องจาก Super 35 มม. คือสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นมาตรฐาน ที่จริงแล้ว ความคุ้นเคยก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์บางคนอาจชอบกล้อง APS-C มากกว่ากล้องฟูลเฟรมเมื่อใช้กล้องถ่ายภาพนิ่งในการถ่ายภาพยนตร์!
ติดตั้งกลุ่มเลนส์ EF รุ่นใดก็ได้ผ่านเมาท์อะแดปเตอร์ EF-EOS R 0.71x
เมาท์อะแดปเตอร์ EF-EOS R 0.71x (ฉบับภาษาอังกฤษ) ประกอบด้วยชิ้นเลนส์ออพติคอลที่จะลดขนาดของภาพที่ได้จากเลนส์ฟูลเฟรมให้พอดีกับขนาด Super 35 มม. การใช้เมาท์อะแดปเตอร์นี้เพื่อติดตั้งเลนส์ EF เข้ากับกล้อง EOS C70 จะช่วยให้คุณได้ภาพที่มีมุมรับภาพใกล้เคียงกับมุมที่คุณจะได้จากกล้องฟูลเฟรม ซึ่งยังแม้แต่เพิ่มการส่งผ่านแสงและทำให้ได้เอฟเฟกต์เพิ่มความเร็วที่ภาพจะสว่างกว่าในกล้องฟูลเฟรม 1 f-stop
![]( https://d1hjkbq40fs2x4.cloudfront.net/2021-11-25/files/6-things-about-cinema-cameras_2179-18.jpg)
ตามข้อมูลในเดือนพฤศจิกายน 2021 เมาท์อะแดปเตอร์ EF-EOS R 0.71x จะสามารถใช้ AF, AE และเอฟเฟกต์การแก้ไขความคลาดของแสงคล้ายกับเลนส์ RF ได้กับเลนส์ EF สามตัวต่อไปนี้
- EF16-35mm f/2.8L III USM
- EF24-70mm f/2.8L II USM
- EF24-105mm f/4L IS II USM
สำหรับเลนส์รุ่นอื่นๆ อาจใช้งานได้จำกัด แม้ว่าคุณยังคงใช้งานส์เหล่านี้ได้ แต่ต้องเตรียมพร้อมที่จะเปิดรับแสงและโฟกัสแบบแมนนวล
สรุป: หากคุณต้องการถ่ายวิดีโอระดับมืออาชีพอยู่บ่อยๆ ควรเลือกใช้ EOS C70
กล้อง EOS C70 ได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงถึงความสะดวกในการใช้งานสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์มืออาชีพที่ผลิตวิดีโอ 4K ในฐานะที่เป็นกล้องถ่ายทำภาพยนตร์โดยเฉพาะ จึงได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงถึงการถ่ายวิดีโอเป็นหลัก แต่ไม่ได้ลดทอนคุณสมบัติและฟังก์ชั่นการถ่ายภาพนิ่งแต่อย่างใด ด้วยการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ที่เน้นการถ่ายวิดีโอเป็นหลักและคุณสมบัติที่ทำให้สามารถควบคุมการถ่ายฟุตเทจที่ดียิ่งขึ้น คุณอาจพบว่าตัวเองสามารถสร้างวิดีโอได้เร็วกว่าและง่ายกว่าเวลาที่ใช้กล้อง DSLR หรือกล้องมิเรอร์เลสที่มีอยู่เดิม
หากคุณจริงจังกับการสร้างวิดีโอและรู้สึกถึงขีดจำกัดของกล้องถ่ายภาพนิ่งที่คุณมีอยู่ กล้อง EOS C70 คือตัวเลือกที่คุณควรพิจารณา เนื่องจากกล้องรุ่นนี้ใช้เลนส์ RF คุณจึงสามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ระบบ EOS R ที่มีอยู่เดิมได้! อันที่จริง กล้องระดับสูงในระบบ EOS R อย่าง EOS R3 หรือ EOS R5 ใช้ถ่ายภาพนิ่งและถ่ายวิดีโอร่วมกับ EOS C70 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็นกล้องถ่ายวิดีโอสำรองที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
รับข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการถ่ายภาพ รวมถึงเคล็ดลับและกลเม็ดต่างๆ
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนชาว SNAPSHOT
ลงทะเบียนตอนนี้!