กล้อง EOS C400 เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567 ในฐานะกล้อง Cinema EOS แบบฟูลเฟรมระดับสูงรุ่นแรกของ Canon ที่มีเมาท์ RF และยังเป็นศูนย์รวม “คุณสมบัติใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว” อื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความไวแสง ISO แบบ Triple Base ที่ไม่เหมือนใครและเซนเซอร์ CMOS ฟูลเฟรมแบบรับแสงด้านหลังซ้อนกันรุ่นใหม่ล่าสุดที่ให้ความละเอียด 6K ด้วยคุณสมบัติอันทรงประสิทธิภาพมากมายที่อัดแน่นอยู่ภายในรูปลักษณ์ “ทรงกล่อง” ขนาดกะทัดรัดที่สามารถติดตั้งกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย จึงมั่นใจได้ว่ากล้องรุ่นนี้จะช่วยให้คุณแสดงวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์ได้อย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นการผลิตภาพยนตร์ การถ่ายทำรายการถ่ายทอดสด หรือการผลิตวิดีโอแบบเสมือนจริง
เซนเซอร์ CMOS BSI ฟูลเฟรมแบบ 6K ที่พัฒนาขึ้นใหม่
ไวต่อแสงมากขึ้นพร้อมประสิทธิภาพที่น่าทึ่งในสภาวะแสงน้อย
EOS C400 เป็นกล้องในระบบ Cinema EOS รุ่นแรกของ Canon ที่มีเซนเซอร์ฟูลเฟรมแบบรับแสงด้านหลัง (BSI) ซ้อนกันรุ่นใหม่ที่ Canon เป็นผู้พัฒนาขึ้นเอง
ตัวเซนเซอร์มีขนาด 38.4 x 20.2 มม. และมีจำนวนพิกเซลที่ใช้จริง 19 ล้านพิกเซล เซนเซอร์รุ่นนี้ต่างจากเซนเซอร์ภาพทั่วไปตรงที่วงจรจะ “ซ้อนกัน” อยู่ใต้ระนาบเซนเซอร์ จึงมีประสิทธิภาพในการรับแสงสูงสุดเนื่องจากพื้นที่รวมแสงในแต่ละพิกเซลจะมีขนาดใหญ่ขึ้น นอกจากนี้เซนเซอร์ยังสามารถอ่านสัญญาณได้เร็วขึ้นด้วย จึงส่งข้อมูลภาพไปยังระบบประมวลผลภาพ DIGIC DV7 อันทรงพลังได้เร็วขึ้น
คุณสมบัติเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อ:
- ประสิทธิภาพการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย
- ช่วงไดนามิกเรนจ์
- Rolling shutter
- ประสิทธิภาพในการโฟกัสอัตโนมัติ (AF)
ประสิทธิภาพการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย
สถานการณ์ที่มีแสงตามธรรมชาติน้อยจะใช้การขยายกำลังของสัญญาณแสงน้อยกว่า ทำให้เกิดจุดรบกวนน้อยกว่าในฟุตเทจที่ใช้ความไวแสง ISO สูง จึงสามารถใช้งานกล้องได้ในฉากและสภาพแวดล้อมหลากหลายแบบ
ช่วงไดนามิกเรนจ์
เมื่อถ่ายใน Canon Log 2 ด้วยความไวแสง ISO พื้นฐานที่ 800 กล้อง EOS C400 จะมีช่วงไดนามิกเรนจ์สูงสุดถึง 16 สต็อป ซึ่งช่วยให้เก็บรายละเอียดในส่วนเงาได้มากขึ้น
Rolling Shutter
การอ่านสัญญาณที่เร็วขึ้นของเซนเซอร์จะช่วยลดการเกิด Rolling Shutter ทำให้ฟุตเทจจากกล้องที่ถ่ายตัวแบบที่เคลื่อนที่เร็วและลำดับภาพในการแพนกล้องดูลื่นไหลไม่มีสะดุด
ประสิทธิภาพในการโฟกัสอัตโนมัติ (AF)
เทคโนโลยี Dual Pixel CMOS AF II บนเซนเซอร์ใช้ข้อมูลแสงจากโฟโต้ไดโอดที่อยู่บนพิกเซลของเซนเซอร์ภาพ เซนเซอร์ BSI แบบซ้อนกันรุ่นใหม่ทำให้สามารถตอบสนองต่อการตรวจจับตัวแบบได้อย่างแม่นยำด้วยความเร็วสูง และยังสามารถโฟกัสได้ครอบคลุม 100% ของพื้นที่ภาพ
ค่าความไวแสง ISO แบบ Triple Base
EOS C400 เป็นกล้องถ่ายทำภาพยนตร์รุ่นแรกที่มีค่าความไวแสง ISO แบบ Triple Base ซึ่งนับเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่พลิกโฉมวงการภาพยนตร์ที่เคยใช้ ISO แบบ Dual Base กันอย่างแพร่หลายในกล้องระดับพรีเมียม
ค่าความไวแสง ISO พื้นฐาน ได้แก่:
- ISO 800, 3200 และ 12800 (Canon Log 2/ Log 3/ RAW)
- ISO 400, 1600 และ 6400 (Canon 709/ BT.709/ Wide DR/ PQ/ HLG)
“ความไวแสง ISO พื้นฐาน” คือค่าความไวแสง ISO ต่ำสุดที่สามารถใช้ได้โดยที่กล้องไม่จำเป็นต้องขยายกำลังสัญญาณแสงเพื่อรับข้อมูลจากสัญญาณแสง ในการตั้งค่าที่ระดับนี้ กล้องจะมีอัตราส่วนระหว่างสัญญาณกับจุดรบกวนที่สมดุลที่สุด (จุดรบกวนในภาพน้อยที่สุด) และมีช่วงไดนามิกเรนจ์ที่ดีที่สุด
เมื่อมีค่าความไวแสง ISO พื้นฐาน 3 ระดับ ผู้ใช้กล้อง EOS C400 จึงสามารถเลือกการตั้งค่าที่เหมาะกับสภาพแสงตามธรรมชาติในแต่ละสถานการณ์ได้ ฟุตเทจที่ได้จึงมีสีสันและโทนสีที่สวยสมจริงและคมชัดไม่ว่าคุณจะถ่ายทำในฉากกลางแจ้งที่สว่างจ้า ภายในอาคารที่มืดสลัว หรือในเวลากลางคืน
ค่าความไวแสง ISO พื้นฐานทั้ง 3 ระดับในกล้อง EOS C400 จะมีค่าความไวแสง ISO พื้นฐานระดับสูงที่ 12800 (ในโหมด Log/RAW) ภาพจึงมีคุณภาพและรายละเอียดที่น่าทึ่งแม้จะเป็นการบันทึกภาพเหตุการณ์ที่ใช้อัตราเฟรมสูงในสภาวะแสงน้อย
วิดีโอ RAW แบบ 6K เพื่อความเป็นไปได้ในการสร้างสรรค์
กล้อง EOS C400 สามารถถ่ายวิดีโอ RAW แบบ 6K (6000 x 3164 พิกเซล) ได้สูงสุดที่ 60P จึงช่วยปลดล็อกความเป็นไปได้ที่มากยิ่งขึ้นในขั้นตอนการปรับแต่ง และเมื่อเปลี่ยนโหมดเซนเซอร์ จะสามารถบันทึกวิดีโอ RAW แบบ 4K ได้สูงสุดที่ 120P และวิดีโอ RAW แบบ 2K ได้สูงสุด 180P ผู้สร้างภาพยนตร์ ผู้ตัดต่อ และผู้ปรับแต่งสีจะมีอิสระมากขึ้นในการปรับแต่งฟุตเทจตามความต้องการในกระบวนการปรับแต่งโดยที่คุณภาพของภาพไม่ลดลง
ไฟล์ RAW จะถูกบันทึกลงในช่องใส่การ์ด CFexpress Type B ของกล้องในรูปแบบ Cinema RAW Light 12 บิตที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลงราวสามในห้าส่วนเมื่อเทียบกับไฟล์ Cinema RAW แบบมาตรฐาน คุณจะมีโหมดการบันทึกสามแบบให้เลือก (แบบ Light, มาตรฐาน และคุณภาพสูง) ขึ้นอยู่กับขนาดไฟล์และข้อกำหนดในขั้นตอนการทำงานของคุณ
สามารถบันทึกไฟล์ Proxy และไฟล์ในรูปแบบ XF-AVC (.mxf), XF-HEVC S (.mp4) หรือ XF-AVC S (.mp4) ลงในช่องใส่การ์ด SD ได้พร้อมกัน
วิดีโอ 4K แบบ Oversampled ที่น่าประทับใจ
สำหรับโปรเจกต์ที่ต้องอาศัยไฟล์ขนาดเล็กหรือขั้นตอนการทำงานที่เรียบง่ายยิ่งขึ้น คุณสามารถใช้การอ่านสัญญาณ 6K ของกล้อง EOS C400 ในการสร้างไฟล์ 4K 10 บิต 4:2:2 ความละเอียดสูง แบบ Oversampled เพื่อให้ได้วิดีโอ DCI หรือ UHD แบบ 4K ที่คมชัดจากกล้องโดยตรง
* เมื่อใช้การบันทึกแบบ XF-AVC, XF-HEVC S, XF-AVC S ในโหมดเซนเซอร์ฟูลเฟรมที่อัตราเฟรม 60P/50P หรือต่ำกว่า
ข้อควรรู้: โครงสร้างที่สม่ำเสมอของข้อมูลและไฟล์ในการบันทึกทุกรูปแบบ
กล้อง EOS C400 สามารถบันทึกไฟล์โดยใช้สัญญาณการบันทึก 4 แบบ ได้แก่
- Cinema RAW Light (.crm)
- XF-AVC (.mxf)
- XF-HEVC S (H.265/ HEVC; .mp4)
- XF-AVC S (H.264/ AVC; .mp4)
XF-HEVC S และ XF-AVC S เป็นสัญญาณที่ได้รับการปรับปรุงให้สามารถบันทึกโดยใช้อัตราบิตต่ำกว่าและได้ไฟล์ขนาดเล็กลง สัญญาณเหล่านี้ใช้การบรรจุไฟล์ในรูปแบบ .mp4
ไฟล์ทั้ง 4 รูปแบบจะมีเมตาดาต้า ชื่อไฟล์ และโครงสร้างโฟลเดอร์แบบเดียวกันเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ นอกจากนี้ยังสามารถแสดงวันและเวลาที่ถ่ายวิดีโอ รวมถึงหมายเลขม้วนฟิล์มบนชื่อไฟล์ได้ ขั้นตอนการทำงานจึงง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการถ่ายทำที่ใช้กล้องหลายตัว
Dual Pixel CMOS AF II ที่มี EOS iTR AF X
โฟกัสอัตโนมัติที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นด้วยการตรวจจับตัวแบบที่ใช้การเรียนรู้เชิงลึก
นอกจากจะมีประสิทธิภาพ AF ที่ดียิ่งขึ้นจากเซนเซอร์ BSI แบบซ้อนกันรุ่นใหม่แล้ว EOS C400 ยังเป็นกล้องในระบบ Cinema EOS รุ่นแรกที่มีเทคโนโลยี Dual Pixel CMOS AF II (DPAF II) รุ่นใหม่ของ Canon ด้วย เทคโนโลยีนี้จะเป็นตัวช่วยโฟกัสที่มีความสามารถเมื่อคุณไม่มีผู้ช่วยหมุนโฟกัส
DPAF II จะทำงานร่วมกับระบบติดตามและจดจำตัวแบบอัจฉริยะ EOS iTR AF X ที่ใช้การเรียนรู้เชิงลึก ซึ่งทำให้ความสามารถในการตรวจจับตัวแบบของกล้องเพิ่มขึ้น โดยจะตรวจจับสัตว์ (สุนัขและแมว) รวมถึงลำตัวของมนุษย์ได้ด้วย การตรวจจับลำตัวมนุษย์จะช่วยให้โฟกัสอยู่บนตัวแบบที่เป็นมนุษย์เสมอแม้จะมองไม่เห็นดวงตา ใบหน้า หรือศีรษะ!
2. เมาท์ RF และเลนส์ที่มีให้เลือก
เมาท์ RF อเนกประสงค์
สมรรถนะทางออพติคอลที่โดดเด่น ตอบสนองได้เร็วขึ้น และเปี่ยมความสามารถในการใช้งาน
เส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่และระยะแบ็คโฟกัสสั้นของเมาท์ RF ทำให้มีความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการออกแบบทางออพติคอล จึงช่วยให้ผลิตเลนส์รุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นและปรับปรุงการออกแบบของเลนส์รุ่นเก่าได้มากมาย อินเทอร์เฟซแบบ 12 ขาของเมาท์ทำให้กล้องและเลนส์สื่อสารกันได้ดียิ่งขึ้น จึงช่วยให้การประสานงานระหว่างกล้องและเลนส์ การแก้ไขความคลาดและความบิดเบี้ยวของเลนส์ รวมถึงการควบคุมของผู้ใช้ในภาพรวมมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
เลนส์ RF แบบเนทีฟบางรุ่นที่สามารถใช้ร่วมกับกล้อง EOS C400 ได้แก่:
- RF5.2mm f/2.8L Dual Fisheye: เลนส์ VR รุ่นแรกจาก Canon ใช้ได้กับกล้องฟูลเฟรมบางรุ่น
- RF10-20mm f/4L IS USM: เลนส์ซูมมุมกว้างอัลตร้าไวด์ที่กว้างที่สุดในโลกสำหรับกล้องฟูลเฟรม และยังมีขนาดกะทัดรัดและเบาอย่างน่าทึ่ง
- RF24-105mm f/2.8L IS USM Z: เลนส์ไฮบริดที่แท้จริงรุ่นแรกจาก Canon ที่มีคุณสมบัติเพื่อการถ่ายวิดีโอโดยเฉพาะ
- เลนส์เดี่ยวจากระบบ Cinema EOS ในเวอร์ชันเมาท์ RF (CN-R) (ฉบับภาษาอังกฤษ)
- CN7×17 KAS T/R1: เลนส์ CINE-SERVO เวอร์ชันเมาท์ RF รุ่นแรก
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
เลนส์ RF กับเลนส์ EF: แตกต่างกันอย่างไรและควรตัดสินใจเลือกอย่างไร
เลนส์รุ่นหนึ่งที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและสามารถใช้กับกล้อง EOS C400 ได้คือ RF5.2mm f/2.8L Dual Fisheye โดยเลนส์นี้จะช่วยให้ขั้นตอนการทำงานของคุณในการผลิต VR180 ง่ายดายยิ่งขึ้นด้วยซอฟต์แวร์ EOS VR Utility หรือปลั๊กอิน Adobe Premiere Pro*
*ต้องชำระค่าสมัครหากต้องการใช้งานฟังก์ชั่นอย่างเต็มรูปแบบ
ปรับใช้กับอุปกรณ์อื่นได้ง่าย: ตัวเลือกในการสร้างสรรค์มากมายเมื่อใช้กับเลนส์ PL และ EF
ระยะแบ็คโฟกัสที่สั้นของเมาท์ RF ช่วยให้นำไปใช้กับเลนส์รุ่นอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย อะแดปเตอร์เลนส์ที่สามารถใช้ได้ (ขายแยกต่างหาก) ได้แก่:
- เมาท์อะแดปเตอร์ PL-RF (ฉบับภาษาอังกฤษ)*: สำหรับการใช้เลนส์เมาท์ PL ระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น เลนส์เดี่ยวรุ่น Sumire เข้ากันได้กับเทคโนโลยี Cooke /i
- เมาท์อะแดปเตอร์ EF-EOS R: ช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากกลุ่มเลนส์เมาท์ EF ที่มีอยู่ได้
นอกจากนี้ยังรองรับเลนส์ Anamorphic ด้วยความสามารถในการยืดขยายที่ใช้ได้กับเอาต์พุตภาพที่ส่งไปยังหน้าจอ LCD หรือหน้าจอผ่าน SDI หรือ HDMI
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ คุณสามารถใช้เลนส์รุ่นใดก็ได้ที่คุณต้องการ
* กำหนดการเปิดตัวในช่วงต้นเดือนกันยายน 2567 ไม่สามารถใช้ร่วมกับกล้อง EOS C70 หรือ EOS R5 C ได้
กะทัดรัดและน้ำหนักเบาพร้อมรองรับการเชื่อมต่อมากมาย
ด้วยระยะแบ็คโฟกัสที่สั้นของเมาท์ RF กล้อง EOS C400 จึงมีน้ำหนักเพียงประมาณ 1,540 กรัม (เฉพาะตัวกล้อง) และมีขนาดประมาณ 142 มม. x 135 มม. x 135 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ซึ่งเล็กกว่ากล้อง EOS C500 Mark II ประมาณ 10% และเบากว่าถึง 210 กรัม ในการติดตั้งชุดอุปกรณ์แบบพื้นฐาน ตัวกล้องที่กะทัดรัดจะช่วยให้ติดตั้งบนกิมบอลหรือแม้แต่โดรนได้อย่างสบายๆ
และในขณะเดียวกัน กล้องก็มีอินเทอร์เฟซสำหรับเอาต์พุตและอินพุตอีกมากมาย ทำให้สามารถติดตั้งกับอุปกรณ์อื่นๆ ในโปรเจกต์และการผลิตหลากหลายขนาดได้อย่างง่ายดาย กล้องรุ่นนี้สามารถใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ได้อย่างสะดวกสบายไม่ต่างจากการถ่ายทำสารคดีสั้นๆ โดยมีผู้ใช้กล้องเพียงคนเดียว หรือจะติดตั้งเข้ากับอุปกรณ์อื่นสำหรับการแพร่ภาพหรือถ่ายทอดสดก็ได้
4. รายละเอียดสั้นๆ พร้อมรูปภาพ
รายละเอียดสั้นๆ เกี่ยวกับอินเทอร์เฟซของกล้อง EOS C400
ด้านหน้า
ช่องต่อ LENS แบบ 12 ขาโดยเฉพาะที่ด้านหน้ากล้อง (ในวงกลมสีแดง) ทำให้สามารถจ่ายไฟสำหรับการแพร่ภาพและส่งไปยังเลนส์ซูม CINE-SERVO ได้โดยตรง
และกล้องยังมีอินเทอร์เฟซต่อไปนี้ที่รองรับการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อแพร่ภาพ/ถ่ายทอดสดโดยไม่ต้องใช้ชุดอุปกรณ์เพิ่มเติม:
- Genlock
- Mini-XLR x 2
- อีเทอร์เน็ต
ด้านบน
ฐานเสียบมัลติฟังก์ชั่นแบบใหม่มีอินเทอร์เฟซดิจิทัลความเร็วสูงรุ่นใหม่ที่สามารถจ่ายไฟจากกล้องให้อุปกรณ์เสริมที่เข้ากันได้ เช่น อะแดปเตอร์ไมโครโฟน XLR
และฐานเสียบมัลติฟังก์ชั่นอีกจุดหนึ่งบนที่จับแบบถอดได้ที่อยู่ด้านบนจะช่วยคงฟังก์ชั่นการใช้งานของฐานเสียบเอาไว้แม้ถอดที่จับออกไปแล้ว
ด้านซ้าย
ปุ่มควบคุมเสียงขณะนี้จะอยู่ฝั่งเดียวกับผู้ใช้งาน ซึ่งต่างจากกล้อง EOS C300 Mark III และ C500 Mark II
มีปุ่มแบบเรืองแสงเพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นในที่มืด
ด้านหลัง
พอร์ตและอินเทอร์เฟซส่วนใหญ่จะอยู่ที่ด้านหลังกล้อง ซึ่งได้แก่:
- 12G-SDI
- 3G-SDI
- 2 x mini XLR
- Genlock/Sync/Return
- ช่องจ่ายไฟผ่าน USB-C
- HDMI ขนาดใหญ่
- ไทม์โค้ด
ช่องต่อ 4 ช่องที่อยู่ด้านหลังทำให้สามารถใช้แบตเตอรี่แบบ V-lock กับกล้องได้
ต้องใช้แบตเตอรี่ใหม่รุ่นใดรุ่นหนึ่งเป็นจำนวนสองชุดจึงจะสามารถใช้งานคุณสมบัติทั้งหมดได้ รวมถึงฐานเสียบมัลติฟังก์ชั่นและช่องต่อ LENS:
- ชุดแบตเตอรี่ BPA30-N
- ชุดแบตเตอรี่ BPA60-N
และกล้อง EOS C400 ยังรองรับแบตเตอรี่ BPA รุ่นเดิมของ Canon ด้วย แต่จะใช้งานฟังก์ชั่นได้อย่างจำกัด
ด้านขวา
อินเทอร์เฟซอีเทอร์เน็ตช่วยให้เชื่อมต่อได้อย่างง่ายดายทั้งในการแพร่ภาพ ถ่ายทอดสด และการติดตั้งอุปกรณ์แบบใช้กล้องหลายตัว
ฟังก์ชั่นเด่นอื่นๆ
IS แบบผสานรวม
เมื่อใช้กับเลนส์ที่มี IS แบบออพติคอลในตัว ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบดิจิทัล (IS แบบดิจิทัล) ของกล้อง EOS C400 จะประสานการทำงานกับ IS ในเลนส์เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันภาพสั่นไหว 5 แกนที่ดียิ่งขึ้น คุณสมบัตินี้เป็นไปได้เพราะเมาท์ RF ช่วยให้กล้องและเลนส์สื่อสารกันได้ด้วยความเร็วสูง
ฟิลเตอร์ ND ในตัว
กล้อง EOS C400 มีฟิลเตอร์ ND ในตัว (โหมดปกติ: ไม่ใช้, 2,4,6 สต็อป และโหมดขยายเพิ่ม: 8, 10 สต็อป) สามารถกำหนดหน่วยการแสดงค่า ND ให้อยู่ในรูปแบบสต็อป การส่งผ่าน หรือความหนาแน่นทางออพติคอล
รองรับการผลิตวิดีโอแบบเสมือนจริง
กล้อง EOS C400 สามารถนำไปใช้งานในการผลิตวิดีโอแบบเสมือนจริงได้ทันที และสามารถส่งเอาต์พุตเมตาดาต้าที่ต้องใช้ในการผลิตวิดีโอแบบเสมือนจริงได้แบบเรียลไทม์ด้วยความสามารถในการสื่อสารความเร็วสูงของเมาท์ RF มีปลั๊กอินสำหรับ Unreal Engine และ Adobe After Effects
6. ลองรับชม: วิดีโอที่ถ่ายด้วยกล้อง EOS C400 + เบื้องหลังการถ่ายทำ
ลองรับชม: “Scary Good” ถ่ายด้วยกล้อง EOS C400 โดย Christine Ng, Explorer of Light จาก Canon
เบื้องหลังการถ่ายทำ “Scary Good” ถ่ายด้วยกล้อง EOS C400 และ Christine Ng