EOS R5 Mark II กับ EOS R5: แตกต่างกันอย่างไร [ตอนที่ 2]
ในตอนที่ 1 ของบทความจำนวน 2 ตอนนี้ เราได้เปรียบเทียบกำลังการประมวลผล ประสิทธิภาพ AF การถ่ายภาพต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ของ EOS R5 กับ EOS R5 Mark II ในตอนที่ 2 นี้ เราจะมาดูความแตกต่างในแง่ของคุณสมบัติสำหรับการถ่ายวิดีโอ คุณภาพของภาพนิ่งและกระบวนการแต่งภาพภายในกล้อง และการเชื่อมต่อ
5. คุณสมบัติสำหรับการถ่ายวิดีโอ
EOS R5 Mark II เพิ่มคุณสมบัติสำหรับการถ่ายวิดีโอขั้นสูงมากมาย ซึ่งรวมถึงระบบไฟล์ที่แตกต่างกันสำหรับรองรับโครงสร้าง XF-AVC/XF-HEVC S เพื่อสนับสนุนขั้นตอนการทำงานระดับมืออาชีพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ด้วยโครงสร้าง MP4 มาตรฐาน DCF ทั่วไป นอกจากนี้ยังให้อิสระแก่ผู้ใช้มากขึ้นในการตั้งค่าการสุ่มสี ความลึกสี และการเลือกใช้ตัวแปลงสัญญาณต่างๆ การปรับปรุงประสิทธิภาพเหล่านี้ทำให้ขณะนี้กล้องมีสเปคหลายอย่างเหมือนกับกล้อง Cinema EOS จึงผสานการทำงานได้ดีขึ้นเมื่อใช้งานควบคู่กัน
รายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาและคุณสมบัติใหม่เหล่านี้จะอยู่ในอีกบทความหนึ่งแยกกัน เราได้อธิบายรายละเอียดบางส่วนไว้แล้วใน 7 คุณสมบัติของกล้อง EOS R5 Mark II ที่พลิกโฉมวงการถ่ายภาพ และต่อไปนี้คือสรุปข้อแตกต่างบางส่วนที่คุณอาจมองไม่เห็นในทันทีจากข้อมูลจำเพาะด้านบน
ตัวเลือกการถ่ายภาพที่มีอัตราต่อเฟรมสูง
ผู้ใช้ EOS R5 Mark II จะมีตัวเลือกมากขึ้นในการสร้างวิดีโอสโลโมชั่น โดยสามารถบันทึกวิดีโอได้สูงสุดถึง 4K 120p หรือ 2K 240p ผู้ใช้สามารถเลือกใช้โหมดภาพเคลื่อนไหวอัตราต่อเฟรมสูง ซึ่งจะสร้างวิดีโอที่ไม่มีเสียงและเปิดดูได้ในแบบสโลโมชั่นโดยตรงจากกล้อง (ซึ่งก็คือ ด้วยอัตราเฟรมที่ช้ากว่า) หรือในโหมดการบันทึกแบบธรรมดา ซึ่งรองรับการบันทึกเสียงและเปิดดูในแบบอัตราเฟรมเดียวกับที่บันทึกไว้ และมีไว้สำหรับการตัดต่อตามต้องการในขั้นตอนการปรับแต่งภาพ
วิดีโอ RAW ที่สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น
EOS R5 Mark II นำเสนอความสามารถในการบันทึกวิดีโอแบบ SRAW แบบ 4K 60p ซึ่งใช้ทรัพยากรน้อยกว่า RAW แบบ 8K และผู้ใช้ยังสามารถบันทึกไฟล์พร็อกซี MP4 DCI 2K พร้อมกันได้อีกด้วย
การตั้งค่าการบีบอัดข้อมูลสีแบบ Colour sampling/ความลึกสี/ตัวแปลงสัญญาณที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
นอกจากมีตัวเลือกแกมมาและ LUT/โปรไฟล์สีมากกว่า EOS R5 แล้ว EOS R5 Mark II ยังให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าตัวแปลงสัญญาณการบันทึกและความลึกสี/Colour sampling ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ตอนนี้ผู้ใช้สามารถเลือกบันทึกภาพแบบ HDR และวิดีโอ Canon Log 2/3 ได้ในรูปแบบ H.264 ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกันได้มากกว่า มีความต้องการในการประมวลผลที่ต่ำกว่า และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสตรีมทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกวิดีโอแบบ SDR (มาตรฐาน) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในรูปแบบของตัวแปลงสัญญาณที่บีบอัดแบบ H.265 ซึ่งใช้อัลกอริทึมการบีบอัดขั้นสูง เพื่อให้คุณภาพของวิดีโอที่ดียิ่งขึ้นด้วยอัตราบิตที่เท่ากันกับ H.264


เวลาการบันทึกที่ยาวนานขึ้น + กริปพัดลมระบายความร้อน
EOS R5 Mark II สามารถบันทึกวิดีโอได้นานขึ้นก่อนที่กล้องจะปิดเครื่องอัตโนมัติเนื่องจากความร้อนภายในกล้อง นอกจากนี้ยังรองรับอุปกรณ์เสริม คือ กริปพัดลมระบายความร้อน CF-R20EP ซึ่งช่วยให้เพิ่มเวลาการบันทึกให้ยาวนานขึ้น
ตารางต่อไปนี้จะเปรียบเทียบเวลาการบันทึกสูงสุดของกล้องที่อุณหภูมิ 23°C เมื่อเปิดกล้อง
หมายเหตุ: เวลาทั้งหมดเป็นระยะเวลาโดยประมาณ
พัดลมระบายความร้อน CF-R20EP เป็นกริปอุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้คุณบันทึกวิดีโอได้ยาวนานขึ้น ทั้งยังทำหน้าที่เป็นพอร์ตอีเทอร์เน็ตเพิ่มเติมสำหรับส่งข้อมูลแบบใช้สายความเร็วสูงอีกด้วย
การถ่ายภาพแบบ Dual Shooting ควบคู่กับ Frame Grab
การถ่ายวิดีโอและภาพนิ่งคุณภาพสูงไปพร้อมกันได้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายทำ กล้องทั้งสองรุ่นมีคุณสมบัติ Frame Grab 8K/4K ซึ่งผู้ใช้สามารถดึงภาพคุณภาพสูงแต่ละเฟรมออกมาจากวิดีโอ 8K/4K เพื่อบันทึกเป็นภาพ JPEG/HEIF นอกจากนี้ EOS R5 Mark II ยังมีคุณสมบัติการถ่ายภาพแบบ Dual Shooting ใหม่ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถบันทึกภาพในรูปแบบ JPEG แบบเดี่ยวหรือแบบต่อเนื่องคุณภาพสูง (ประมาณ 33.2 ล้านพิกเซล, 7680 x 4320) ไปยังช่องใส่การ์ดอีกช่องได้พร้อมกันเมื่อบันทึกวิดีโอ Full HD (1920 x 1080)
การจัดวางปุ่มควบคุมและอินเทอร์เฟซ


A: สวิตช์สลับภาพถ่าย/วิดีโอกับสวิตช์เปิด/ปิดที่อยู่บนมุมซ้าย
B: ไฟแสดงการบันทึก
C: ฐานเสียบมัลติฟังก์ชั่นกับฐานเสียบแบบดั้งเดิม
อินเทอร์เฟซ HDMI ขนาดใหญ่ของ EOS R5 Mark II ตอบโจทย์ความต้องการที่มีมาอย่างยาวนานของผู้สร้างภาพยนตร์ที่ต้องการการเชื่อมต่อที่แข็งแกร่งและทนทานกว่าอินเทอร์เฟซ micro HDMI ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ในกล้อง EOS R5 Mark II ยังมีการอัปเดตปุ่มควบคุมและอินเทอร์เฟซที่สำคัญสามประการเมื่อเทียบกับ EOS R5
สวิตช์สลับภาพถ่าย/วิดีโอ
EOS R5 Mark II มีสวิตช์สลับภาพถ่าย/วิดีโออยู่บนแผงมุมซ้ายบน และย้ายปุ่มเปิด/ปิดไปที่มุมขวาบนรวมกับวงแหวนเลือกโหมด ทำให้สามารถสลับระหว่างโหมดถ่ายภาพกับวิดีโอได้ง่ายดายขึ้น ซึ่งการจัดวางลักษณะนี้จะเหมือนกับในกล้อง EOS R6 Mark II และ EOS R7
ไฟแสดงการบันทึก
ไฟแสดงการบันทึกแบบใหม่ใน EOS R5 Mark II จะสว่างขึ้นเพื่อให้บุคคลอื่นในกองถ่ายรวมถึงผู้ที่อยู่หน้ากล้องทราบว่ากล้องกำลังบันทึกวิดีโออยู่
ฐานเสียบมัลติฟังก์ชั่น
กล้อง EOS R5 Mark II มีฐานเสียบมัลติฟังก์ชั่นแบบใหม่เช่นเดียวกับกล้อง EOS ส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายหลังเดือนกันยายน 2021 เช่น EOS R3, EOS R6 Mark II และ EOS R7่ ฐานเสียบนี้มีช่องต่อดิจิทัลแบบใหม่ที่มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารขั้นสูงและสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์เสริมที่เข้ากันได้ ทำให้สามารถเชื่อมต่อดิจิทัลกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น อะแดปเตอร์ไมโครโฟน XLR ในแบบไร้สาย
ประสิทธิภาพ AF สำหรับวิดีโอ
ประสิทธิภาพ AF ที่ได้รับการปรับปรุงของ EOS R5 Mark II เมื่อเทียบกับ EOS R5 ทำให้การโฟกัสอัตโนมัติดียิ่งขึ้นและการติดตามวัตถุแม่นยำยิ่งขึ้นขณะถ่ายวิดีโอ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ EOS R5 Mark II: ทดสอบการถ่ายภาพและวิดีโอในสังเวียนมวย
6. คุณสมบัติการวัดแสงและการปรับแต่งภาพในกล้อง
EOS R5 Mark II เพิ่มคุณสมบัติการลดจุดรบกวนด้วยนิวรัลเน็ตเวิร์กและ In-camera Upscaling ใหม่ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพอื่นๆ อย่างไรก็ตาม มีการนำคุณสมบัติบางอย่างที่มีอยู่ใน EOS R5 ออกด้วยเช่นกัน ดังที่แสดงไว้ในรายการด้านบน
EOS R5 Mark II: การวัดแสงอัตโนมัติและสมดุลแสงขาวที่ดียิ่งขึ้น
EOS R5 Mark II มีระบบการวัดแสงที่แม่นยำกว่า EOS R5 และมีโซนการวัดแสงมากกว่าสูงสุดถึง 16 เท่า โดยสูงสุดถึง 6144 โซน (96x64) ในระหว่างการถ่ายภาพนิ่ง และสูงสุด 5184 โซน (96 x 54) ในระหว่างการบันทึกวิดีโอ UHD เมื่อเทียบกับ 384 โซนของ EOS R5 สำหรับการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ ทำให้กล้องสามารถวัดแสงและตั้งค่าสมดุลแสงขาวได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อวัตถุมีขนาดเล็กในเฟรมภาพ


*เมื่อถ่ายภาพนิ่ง สำหรับการบันทึกภาพเคลื่อนไหว DCI: 4800 โซน (96x50), UHD: 5184 โซน (96x54)
ขณะที่ทั้ง EOS R5 และ EOS R5 Mark II ใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึกเพื่อปรับปรุงการตั้งค่าสมดุลแสงขาว แต่ EOS R5 Mark II มีอัลกอริทึมใหม่ที่ปรับปรุงสมดุลแสงขาวและความแม่นยำของการวัดแสงอัตโนมัติให้ดีขึ้น โดยเฉพาะกับท้องฟ้าที่มีเมฆครึ้มและสีผิวของมนุษย์ ผู้ใช้จึงได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้นเมื่อปล่อยให้กล้องทำหน้าที่วัดแสงและ/หรือตั้งค่าสมดุลแสงขาว
การบันทึกภาพนิ่งแบบ HDR
EOS R5 สามารถสร้างภาพนิ่งที่มีช่วงไดนามิกสูงขึ้นจากกล้องโดยตรงได้สองวิธี ดังนี้
- การบันทึกแบบ HDR PQ ซึ่งบันทึกภาพเป็นไฟล์ HEIF 10 บิตโดยใช้แกมมา PQ ซึ่งจะรักษาข้อมูลโทนสีได้มากกว่าไฟล์ JPEG 8 บิตทั่วไป และมองเห็นได้ชัดแม้จะไม่ผ่านการปรับแต่ง
- โหมด HDR ซึ่งได้จากการถ่ายภาพคร่อมสามภาพและนำมารวมเข้าด้วยกันเป็นไฟล์ JPEG
ใน EOS R5 Mark II สามารถบันทึกภาพนิ่ง HDR เป็นไฟล์ HDR PQ HEIF ได้ แม้ไม่มีโหมด HDR อย่างไรก็ตาม กล้องยังมีโหมดวิดีโอ HDR อยู่ และรองรับแกมมา HLG และ PQ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตวิดีโอ HDR ระดับมืออาชีพ
การเพิ่มความละเอียดของภาพ
กล้องทั้งสองรุ่นมีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความละเอียดของภาพ ได้แก่ โหมด IBIS High Resolution ใน EOS R5 ซึ่งเพิ่มเข้ามาในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ และ In-camera Upscaling ใน EOS R5 Mark II โดยคุณสมบัติทั้งสองนี้จะทำงานในลักษณะที่แตกต่างกัน ดังที่สรุปไว้ต่อไปนี้
ขณะที่คุณสมบัติของ EOS R5 ให้ภาพที่มีจำนวนพิกเซลมากขึ้น (ประมาณ 400MP เทียบกับ EOS R5 Mark II ที่มีประมาณ 179MP) คุณสมบัติของ EOS R5 Mark II ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมและสร้างภาพได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าภาพต้นฉบับ คุณสมบัติของ EOS R5 เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ควบคุมได้โดยที่ตัวแบบอยู่นิ่ง และผู้ใช้จะต้องมั่นใจว่ากล้องมีความเสถียรตลอดระยะเวลาการถ่ายภาพโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบป้องกันภาพสั่นไหวในกล้องหรือในเลนส์
การซ้อนโฟกัส
กล้องทั้งสองรุ่นมีฟังก์ชั่นการซ้อนโฟกัสในตัวกล้อง ซึ่งกล้องจะถ่ายภาพตามจำนวนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าโดยใช้ตำแหน่งโฟกัสที่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม EOS R5 Mark II ยังสามารถรวมภาพเข้าด้วยกันภายในกล้องด้วยคุณสมบัติ Depth Compositing
เฉพาะในกล้อง EOS R5: DPRAW และฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้อง
DPRAW (Dual Pixel RAW) ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในกล้อง EOS 5D Mark IV เป็นวิธีการบันทึก RAW ที่ใช้ประโยชน์จากข้อมูลการตัดส่วนภาพ (Parallax) ที่เก็บโดยโครงสร้างพิกเซล Dual Pixel CMOS AF ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งช่วยให้สามารถปรับแต่งภาพให้ดียิ่งขึ้นโดยใช้วิธีที่ไม่สามารถทำได้ในการบันทึก RAW แบบดั้งเดิมหรือ CRAW เช่น การปรับแสงในภาพพอร์ตเทรตและการปรับความชัดเจนของฉากหลัง ทั้งนี้ ฟังก์ชั่น DPRAW จะมีให้ใช้งานใน EOS R5 แต่ไม่มีใน EOS R5 Mark II
หมายเหตุ: คุณสมบัติใหม่อื่นๆ ของ EOS R5 Mark II
- การลดจุดรบกวนด้วยนิวรัลเน็ตเวิร์ก
ใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึกเพื่อลดจุดรบกวนได้ดียิ่งขึ้นเมื่อปรับแต่งภาพ RAW ในกล้อง
- การตรวจจับภาพเบลอ/อยู่นอกระยะโฟกัส
คุณสมบัตินี้ใช้ได้กับการถ่ายภาพ JPEG/HEIF ในโหมดชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อช่างภาพงานอีเวนต์/กีฬาและผู้ใช้อื่นๆ ที่ถ่ายภาพบุคคลแบบต่อเนื่องจำนวนมากและต้องเรียงลำดับและนำเสนอภาพโดยเร็วที่สุด คุณสมบัตินี้จะตรวจจับและทำเครื่องหมายภาพบุคคลที่เบลอหรืออยู่นอกระยะโฟกัสเพื่อคัดเลือกภาพได้ง่ายขึ้น
7. การเชื่อมต่อ
EOS R5 Mark II มีคุณสมบัติการเชื่อมต่อที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการถ่ายโอนไฟล์ภาพถ่ายและวิดีโอจากกล้องโดยตรง
โปรโตคอล Wi-Fi
EOS R5 Mark II มีเทคโนโลยี Wi-Fi 6/6E* ที่ทันสมัยขึ้น ซึ่งสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้น กินไฟน้อยลง และรองรับโปรโตคอลความปลอดภัยเครือข่าย WPA3 ล่าสุด ขณะที่ EOS R5 ยังคงใช้เทคโนโลยี Wi-Fi 5 รุ่นเก่า
กล้องทั้งสองรุ่นรองรับแบนด์ทั้ง 5GHz และ 2.4GHz แบบไร้สาย เทคโนโลยีบลูทูธพลังงานต่ำ (BLE) และการถ่ายโอนข้อมูล FTP/FTP-S ความเร็วสูง นอกจากนี้ EOS R5 Mark II ยังรองรับการถ่ายโอน SFTP และ 2x2 MIMO (multiple-input and multiple-output) ในขณะที่ EOS R5 สามารถรองรับได้เช่นกัน แต่ต้องใช้อุปกรณ์ส่งไฟล์ภาพไร้สาย WFT-R10 เท่านั้น
*เฉพาะรุ่น 6GHz เท่านั้น
โปรโตคอลอีเทอร์เน็ต (LAN แบบใช้สาย)
กล้องทั้งสองรุ่นไม่มีพอร์ตอีเทอร์เน็ตในตัว และต้องมีอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมต่อ LAN แบบใช้สาย
EOS R5 Mark II มีอุปกรณ์เสริมสองอย่างให้เลือก:
- แบตเตอรี่กริป BG-R20EP (พร้อมอีเทอร์เน็ต)
- พัดลมระบายความร้อน CF-R20EP
อุปกรณ์เสริมสองอย่างนี้จะช่วยสนับสนุนโปรโตคอลอีเทอร์เน็ต 2.5G BASE-T ให้ทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน EOS R5 ต้องใช้อุปกรณ์ส่งไฟล์ภาพไร้สาย WFT-R10 สำหรับการเชื่อมต่อ LAN แบบมีสาย
ฟังก์ชั่นการใช้งาน
โดยทั่วไป EOS R5 Mark II มีฟังก์ชั่นการทำงานมากขึ้นโดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม ซึ่งคุณสมบัติหลักๆ มีดังต่อไปนี้
การถ่ายโอนไฟล์ผ่าน Camera Connect และ Content Transfer Professional
กล้องทั้งสองรุ่นรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายและการถ่ายโอนไฟล์ไปยังสมาร์ทโฟนผ่านแอป Camera Connect และ Content Transfer Professional อย่างไรก็ตาม EOS R5 Mark II ยังรองรับการเชื่อมต่อแบบใช้สายความเร็วสูงและการถ่ายโอนข้อมูลผ่านสาย USB-C เพิ่มเติม นอกจากนี้ EOS R5 Mark II ยังรองรับการถ่ายทอดสดผ่าน Camera Connect ได้เช่นกัน
การถ่ายภาพแบบเชื่อมโยงกันและการซิงค์เวลา
EOS R5 Mark II รองรับการถ่ายภาพแบบเชื่อมโยงกันและการซิงค์เวลาด้วยกล้องตัวรับสูงสุด 10 ตัวผ่าน LAN ไร้สายทันที ในขณะที่ EOS R5 ต้องใช้อุปกรณ์ส่งไฟล์ภาพไร้สาย WFT-R10
สรุป
ในแง่ของคุณสมบัติและประสิทธิภาพการทำงาน EOS R5 Mark II ได้รับการปรับปรุงอย่างมากจนมีความสามารถที่เหนือกว่า EOS R5 ทำให้ช่างภาพแอคชั่น สัตว์ป่า และไฮบริด ผู้ผลิตวิดีโอระดับมืออาชีพ รวมถึงช่างภาพและช่างบันทึกภาพวิดีโอโฆษณาและบรรณาธิการจะได้รับประโยชน์จากกล้องรุ่นนี้อย่างแน่นอน
แต่กระนั้น EOS R5 ก็ยังคงเป็นกล้องที่มีประสิทธิภาพสูงมาก และผู้ที่เป็นเจ้าของ EOS R5 อยู่อาจยังต้องการใช้งาน EOS R5 ต่อไปหากไม่ได้ถ่ายภาพเคลื่อนไหว สัตว์ป่า หรือวิดีโอ หรือใช้ฟังก์ชั่นเพียงไม่กี่อย่างที่นำออกจาก EOS R5 Mark II ไปแล้ว นอกเหนือจากนั้น นับว่า EOS R5 Mark II เป็นกล้องที่มีประโยชน์สูงมากเนื่องจากมีคุณสมบัติและความสามารถที่หลากหลาย
ในกรณีที่คุณพลาดไป โปรดอ่าน ตอนที่ 1 เกี่ยวกับการเปรียบเทียบคุณสมบัติด้านประสิทธิภาพหลักของกล้อง เช่น AF และการถ่ายภาพต่อเนื่อง
รับข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการถ่ายภาพ รวมถึงเคล็ดลับและกลเม็ดต่างๆ
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนชาว SNAPSHOT
ลงทะเบียนตอนนี้!