ค้นหาสิ่งที่คุณต้องการ

หรือค้นหาโดย

หัวข้อ

Article
Article

Article

e-Book
e-Book

e-Book

Video
Video

Video

Campaigns
Campaigns

Campaigns

Architecture
กล้องคอมแพค

กล้องคอมแพค

Architecture
DSLRs

DSLRs

Architecture
การถ่ายวีดิโอ

การถ่ายวีดิโอ

Architecture
ภาพดาราศาสตร์

ภาพดาราศาสตร์

Architecture
กล้องมิลเลอร์เลส

กล้องมิลเลอร์เลส

Architecture
ภาพสถาปัตยกรรม

ภาพสถาปัตยกรรม

Architecture
เทคโนโลยีของแคนนอน

เทคโนโลยีของแคนนอน

Architecture
การถ่ายภาพในขณะที่มีแสงน้อย

การถ่ายภาพในขณะที่มีแสงน้อย

Architecture
การสัมภาษณ์ช่างภาพ

การสัมภาษณ์ช่างภาพ

Architecture
ภาพวิวทิวทัศน์

ภาพวิวทิวทัศน์

Architecture
การถ่ายภาพมาโคร

การถ่ายภาพมาโคร

Architecture
การถ่ายภาพกีฬา

การถ่ายภาพกีฬา

Architecture
การถ่ายภาพท่องเที่ยว

การถ่ายภาพท่องเที่ยว

Architecture
การถ่ายภาพใต้น้ำ

การถ่ายภาพใต้น้ำ

Architecture
แนวคิดการถ่ายภาพและการประยุกต์ใช้

แนวคิดการถ่ายภาพและการประยุกต์ใช้

Architecture
การถ่ายภาพสตรีท

การถ่ายภาพสตรีท

Architecture
กล้องมิเรอร์เลสแบบฟูลเฟรม

กล้องมิเรอร์เลสแบบฟูลเฟรม

Architecture
เลนส์และอุปกรณ์เสริม

เลนส์และอุปกรณ์เสริม

Architecture
Nature & Wildlife Photography

Nature & Wildlife Photography

Architecture
การถ่ายภาพพอร์ตเทรต

การถ่ายภาพพอร์ตเทรต

Architecture
การถ่ายภาพกลางคืน

การถ่ายภาพกลางคืน

Architecture
การถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง

การถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง

Architecture
โซลูชั่นการพิมพ์

โซลูชั่นการพิมพ์

Architecture
รีวิวผลิตภัณฑ์

รีวิวผลิตภัณฑ์

Architecture
การถ่ายภาพงานแต่งงาน

การถ่ายภาพงานแต่งงาน

ผลิตภัณฑ์ >> ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลนส์: ม่านรูรับแสงคืออะไร ม่านรูรับแสงส่งผลต่อภาพถ่ายอย่างไร

2022-12-12
1
283

คุณอาจเคยเห็นข้อมูลนี้ในสเปคของเลนส์ ไม่ว่าจะเป็น “จำนวนกลีบไดอะแฟรม (หรือม่านรูรับแสง)” และ “รูรับแสงทรงกลม” คำถามก็คือ สิ่งเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร และส่งผลต่อภาพถ่ายของคุณอย่างไร พบคำตอบได้ในบทความนี้!

ในบทความนี้:

 

ข้อมูลพื้นฐาน: ม่านรูรับแสงคืออะไรและทำหน้าที่อะไรบ้าง

หากคุณเคยมองเข้าไปใกล้ๆ ใน “ช่อง” เลนส์ ก็จะพบว่าในเลนส์ส่วนใหญ่ อาจมีบางสิ่งที่มีลักษณะเช่นนี้เมื่อกล้องปิดอยู่ นั่นคือ

ม่านรูรับแสงหรือที่เรียกกันว่ากลีบไดอะแฟรม ซึ่งเป็นกลีบที่ประกอบกันเป็นช่องตรงกลางเลนส์ ทำหน้าที่ควบคุมขนาดของรูรับแสง ซึ่งก็คือรูในเลนส์ที่เปิดให้แสงผ่านเข้ามาภายในกล้อง

เมื่อคุณเพิ่มค่า f (“ปรับรูรับแสงให้แคบลง”) ม่านรูรับแสงจะขยายออกเพื่อปรับช่องนั้นให้แคบลง แสงจึงผ่านเข้ามาในกล้องได้น้อยลง
เมื่อคุณลดค่า f (“เปิดรูรับแสงให้กว้างขึ้น”) ม่านรูรับแสงจะหด ทำให้ช่องมีขนาดใหญ่ขึ้น แสงจึงผ่านเข้ามาในกล้องได้มากขึ้น


เกร็ดน่ารู้: ระบบวัดแสงด้วยรูรับแสงกว้างสุด

เพราะเหตุใดจึงถ่ายได้ภาพด้านบนเมื่อกล้องปิดอยู่ นั่นเป็นเพราะเมื่อกล้องเปิดอยู่ ม่านรูรับแสงมักจะหดลงจนสุด (เปิดกว้าง) คุณอาจไม่สามารถมองเห็นม่านรูรับแสงได้ ขึ้นอยู่กับเลนส์ที่คุณใช้!

นั่นเป็นเพราะกล้อง Canon ทำการวัดแสงด้วยรูรับแสงกว้างสุด กล่าวคือ ไม่ว่าคุณจะตั้งค่ารูรับแสงไว้เท่าไหร่ รูรับแสงจะยังคงเปิดกว้างจนกว่าคุณจะลั่นชัตเตอร์ ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าปริมาณแสงสูงสุดจะเข้าสู่เซนเซอร์ภาพได้ ยิ่งมีแสงเข้ามาก ก็ยิ่งมีข้อมูลมาก ซึ่งจะช่วยในเรื่องฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น การเปิดรับแสงอัตโนมัติและการโฟกัสอัตโนมัติ!

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
เลนส์ไวแสงทำให้มองเห็นผ่านช่องมองภาพได้ง่ายขึ้นหรือไม่

 

เมื่อถ่ายภาพด้วยรูรับแสงกว้างสุด จำนวนม่านรูรับแสงจะไม่ส่งผลต่อโบเก้…

นี่เป็นภาพโคลสอัพของเลนส์สองรุ่นพร้อมม่านรูรับแสงเมื่อใช้รูรับแสงกว้างสุด ในภาพทั้งสอง จะเห็นได้ว่าม่านรูรับแสงหดลงจนสุด

RF24-105mm f/4L IS USM (ม่านรูรับแสงแบบ 9 กลีบ)

RF50mm f/1.2L USM (ม่านรูรับแสงแบบ 10 กลีบ)

คุณสังเกตเห็นอะไรบ้างเกี่ยวกับช่องรูรับแสง

ไม่เกี่ยวกับขนาดที่ต่างกัน
คุณอาจเคยสังเกตเห็นขนาดที่แตกต่างกัน นั่นเป็นเพราะเลนส์ทั้งสองได้รับการออกแบบให้มีรูรับแสงกว้างสุดแตกต่างกัน (f/4 และ f/1.2 ตามลำดับ) ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำนวนของม่านรูรับแสง หากคุณมีเลนส์ 50mm f/1.8 คุณจะเห็นลักษณะเช่นเดียวกับตัวอย่างที่สอง จำนวนม่านรูรับแสงจะแตกต่างกันไปแม้ในกลุ่มเลนส์ที่มีค่ารูรับแสงกว้างสุดเท่ากัน!

รูปทรงกลมแบบเดียวกัน
ลองสังเกตรูปทรงของช่อง: ไม่ว่าเลนส์จะมี 9 หรือ 10 กลีบ เมื่อใช้รูรับแสงกว้างสุด ม่านรูรับแสงของเลนส์ทั้งสองรุ่นจะมีรูปทรงกลม

 

ทดสอบการถ่ายภาพ: แสงโบเก้

ภาพต่อไปนี้ถ่ายโดยใช้เลนส์เดี่ยว 50 มม. สามรุ่น ซึ่งมีจำนวนม่านรูรับแสงที่แตกต่างกัน ดังนี้
- RF50mm f/1.2L USM (ม่านรูรับแสงแบบ 10 กลีบ)
- RF50mm f/1.8 STM (ม่านรูรับแสงแบบ 7 กลีบ)
- EF50mm f/1.8 II (ม่านรูรับแสงแบบ 5 กลีบ)

ภาพทั้งหมดถ่ายดังนี้
- ใช้รูรับแสงกว้างสุดของเลนส์
- จากตำแหน่งการถ่ายภาพเดียวกัน
- ในโหมดแมนนวลโฟกัส โดยตั้งค่าโฟกัสไว้ที่ระยะใกล้สุดของเลนส์

ไม่ว่าจะมีจำนวนม่านรูรับแสงเท่าใด รูปทรงของแสงโบเก้จะยังคงเหมือนเดิม

รูรับแสงแบบ 10 กลีบเปิดกว้าง (f/1.2)

รูรับแสงแบบ 7 กลีบเปิดกว้าง (f/1.8)

 

รูรับแสงแบบ 5 กลีบเปิดกว้าง (f/1.8)


ข้อควรรู้: เพราะเหตุใดขนาดแสงโบเก้จึงแตกต่างกัน
แม้ขนาดแสงโบเก้จะต่างกัน แต่ก็เป็นไปตามความคาดหมายเนื่องจากปัจจัยต่อไปนี้ที่ส่งผลต่อระยะชัด


ค่ารูรับแสงกว้างสุดที่ต่างกัน: ภาพที่ถ่ายด้วย f/1.2 มีแสงโบเก้ใหญ่กว่าอย่างที่คาดไว้ เนื่องจากการโฟกัสที่ตื้นกว่า  (ดูบทความ: พื้นฐานเกี่ยวกับเลนส์ #3: การสร้างโบเก้)
ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ต่างกัน: เลนส์ EF50mm f/1.8 II มีระยะโฟกัสใกล้สุดที่ยาวกว่า (45 ซม.) เมื่อเทียบกับเลนส์ RF50mm f/1.8 STM (30 ซม.) ซึ่งหมายความว่า เมื่อใช้เลนส์ RF แสงในแบ็คกราวด์จะอยู่นอกโฟกัสมากกว่า และดูใหญ่กว่าตามไปด้วย

 

...แต่จะส่งผลเมื่อใช้รูรับแสงที่แคบลง

เมื่อเราใช้รูรับแสงแคบๆ รูปทรงที่เกิดจากม่านรูรับแสงจะมีลักษณะเป็นทรงกลมน้อยกว่า

ภาพด้านบนถ่ายโดยจงใจให้อยู่นอกโฟกัสและถ่ายด้วยค่า f/16 บนเลนส์ที่มีม่านรูรับแสงแบบ 7 กลีบ จะสังเกตได้ว่าแสงโบเก้ทำให้เกิดรูปทรง 7 เหลี่ยม ซึ่งสะท้อนรูปทรงของช่องรูรับแสง


ผลกระทบต่อแฉกแสง

มีอีกสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อใช้รูรับแสงที่แคบมาก (f/11 หรือ f/16 เป็นต้นไป) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณถ่ายโดยใช้แหล่งกำเนิดแสงที่เป็นจุดในเฟรม

ใช่แล้ว แฉกแสง! คุณอาจสังเกตเห็นแฉกแสงเหล่านี้หากเคยลองถ่ายภาพฉากที่มีไฟจากถนนในยามค่ำคืนโดยเปิดรับแสงเป็นเวลานาน เช่น เส้นแสงจากรถยนต์

ลองมาดูภาพตัวอย่างต่อไปนี้ ซึ่งทั้งหมดถ่ายที่ค่า f/16 และระยะ 50 มม. บนเลนส์ที่มีจำนวนม่านรูรับแสงแตกต่างกัน คุณสังเกตเห็นอะไรบ้างเกี่ยวกับจำนวนจุดแฉกแสง


ทดสอบการถ่ายภาพ: แฉกแสง


ม่านรูรับแสงแบบ 5 กลีบ


ม่านรูรับแสงแบบ 7 กลีบ


ม่านรูรับแสงแบบ 9 กลีบ


ม่านรูรับแสงแบบ 10 กลีบ

จำนวนม่านรูรับแสง จำนวนจุดแฉกแสง
5
10
7
14
9
18
10
10


ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

เหตุผลก็คือ ลักษณะที่แฉกแสงถูกสร้างขึ้น

เมื่อใช้รูรับแสงแคบๆ (ค่า f สูง) ช่องรูรับแสงจะมีขนาดเล็กและม่านรูรับแสงจะสร้างมุมขึ้นมา แสงที่ผ่านเข้ามาในช่องเล็กๆ นี้จะหักเห (กระจายแสง) ผ่านมุมเหล่านี้ ซึ่งทำให้ได้เอฟเฟ็กต์แฉกแสง

ม่านรูรับแสงแบบ 5 กลีบ

ม่านรูรับแสงแบบ 5 กลีบจะสร้างรูปดาวที่มี 10 แฉก

ม่านรูรับแสงแบบ 7 กลีบ

ม่านรูรับแสงแบบ 7 กลีบจะสร้างรูปดาวที่มี 14 แฉก

ม่านรูรับแสงแบบ 9 กลีบ

ม่านรูรับแสงแบบ 9 กลีบจะสร้างรูปดาวที่มี 18 แฉก

ม่านรูรับแสงแบบ 10 กลีบ

ม่านรูรับแสงแบบ 10 กลีบจะสร้างรูปดาวที่มี 10 แฉกเนื่องจากแต่ละมุมจะอยู่ตรงข้ามกันโดยตรง

ตามกฎทั่วไปในการถ่ายภาพ หากมีม่านรูรับแสงเป็นจำนวนคี่ แฉกดาวจะมีจำนวนเป็นสองเท่าของจำนวนม่านรูรับแสง

หากมีม่านรูรับแสงเป็นจำนวนคู่ แฉกดาวจะมีจำนวนเท่ากับจำนวนม่านรูรับแสง


เคล็ดลับแฉกแสง: ทำให้ได้แฉกแสงที่ชัดเจนที่สุด

1. ถอดฟิลเตอร์ UV ออก
คุณต้องใช้แหล่งกำเนิดแสงจ้าและมีความเข้มเพื่อสร้างแฉกแสง ฟิลเตอร์ UV อาจกระจายแสงที่ผ่านเข้ามาในเลนส์ ทำให้แฉกปรากฏไม่ชัดเจน

2. ตรวจดูให้แน่ใจว่าเลนส์ของคุณสะอาดและแห้ง รวมถึงชิ้นเลนส์ด้านหลังด้วย
ความชื้น สิ่งสกปรก หรือรอยเปื้อนบนเลนส์จะหักเหหรือกระจายแสง ซึ่งส่งผลต่อความชัดเจนของแฉกเช่นกัน อย่าลืมทำความสะอาดกระจกที่ด้านหลังของเลนส์ด้วย และตรวจดูให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้เผลอทิ้งรอยนิ้วมือไว้!

3. มองหาแหล่งกำเนิดแสงที่เป็นจุด
รูปทรงของแหล่งกำเนิดแสงจะส่งผลต่อรูปทรงของตรงกลางแฉกแสง

ในภาพนี้มีแหล่งกำเนิดแสงต่างกันสามประเภทที่ทำให้เกิดแฉกแสง นั่นคือโคมไฟถนน ไฟแดงดวงเล็กๆ บนสะพาน และหากมองเข้าไปใกล้ๆ คุณจะเห็นไฟดวงที่สองที่ดูวินเทจจากทางซ้าย คุณคิดว่าแหล่งกำเนิดประเภทใดให้แฉกแสงที่สวยที่สุด และอะไรเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่าง


ภาพเสีย

รอยเปื้อนบนเลนส์ทำให้จุดแฉกแสงของแสงไฟจากท้องถนนที่อยู่ด้านหน้าเบลอ หากคุณต้องการแฉกแสงสวยๆ ทางที่ดีควรพกผ้าเช็ดเลนส์ น้ำยาทำความสะอาดเลนส์ และที่เป่าลมติดตัวไปด้วย และจะเห็นได้ว่ารูปทรงของแสงไฟนั้นส่งผลต่อรูปทรงของแฉกแสงเช่นกัน


รูปทรงของโบเก้ที่ถ่ายด้วยรูรับแสงที่ถูกปรับให้แคบลง

ยิ่งมีม่านรูรับแสงมาก ช่องก็จะยิ่งดูเป็นทรงกลมมากขึ้นแม้เมื่อใช้รูรับแสงแคบๆ ซึ่งจะมีประโยชน์สำหรับฉากที่คุณต้องการให้มีแสงโบเก้ทรงกลม (หรือเรียกอีกอย่างว่า วงโบเก้หรือวงกลมโบเก้) แต่ไม่สามารถใช้รูรับแสงที่กว้างเกินไปได้


7 กลีบ, f/8


10 กลีบ, f/8

โบเก้ f/8 ที่ได้จากม่านรูรับแสงแบบ 5 กลีบจะมีรูปทรงหลายเหลี่ยมอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกันแล้ว โบเก้ที่ได้จากม่านรูรับแสงแบบ 10 กลีบจะมีลักษณะคล้ายวงกลม เราจะสังเกตเห็นขอบเฉพาะตอนที่มองใกล้ๆ

 

สรุป: ผู้ที่ชื่นชอบโบเก้และแฉกแสงห้ามพลาดข้อมูลนี้

จำนวนม่านรูรับแสงจะเริ่มมีความสำคัญเมื่อคุณลดขนาดรูรับแสงลง:
- ม่านรูรับแสงจำนวนมาก: โบเก้เป็นทรงกลมมากขึ้นจากการลดขนาดรูรับแสง
- ม่านรูรับแสงจำนวนน้อย: โบเก้มีรูปทรงหลายเหลี่ยมอย่างเห็นได้ชัดจากการลดขนาดรูรับแสง
- มีม่านรูรับแสงเป็นจำนวนคู่: มีจำนวนจุดแฉกแสงเป็นสองเท่า
- มีม่านรูรับแสงเป็นจำนวนคี่: มีจำนวนจุดแฉกแสงเท่ากัน

เลนส์ซีรีย์ L มักจะมี 9 หรือ 10 กลีบ เลนส์ที่ไม่ได้อยู่ในซีรีย์ L ส่วนใหญ่มี 7 กลีบ
เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีโบเก้กลมๆ แม้ใช้รูรับแสงแคบๆ เลนส์ RF และ EF ระดับมืออาชีพ (ซีรีย์ L) หลายรุ่นจึงมีม่านรูรับแสงแบบ 9 กลีบหรือแม้แต่ 10 กลีบ ในขณะที่เลนส์ที่ไม่ได้อยู่ในซีรีย์ L ส่วนใหญ่มีม่านรูรับแสงแบบ 7 กลีบ แต่เลนส์ EF บางรุ่นอาจมี 6 กลีบและ 8 กลีบ

หากโบเก้มีความสำคัญกับคุณมาก และคุณต้องการให้วงกลมโบเก้ดูกลมและนุ่มนวลแม้จะลดขนาดรูรับแสงลงก็ตาม เลนส์ที่มีม่านรูรับแสงมากกว่าจะเหมาะสมกว่า

หากคุณชื่นชอบแฉกแสง ความจริงแล้วขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบเอฟเฟ็กต์แฉกแสงแบบไหนมากกว่ากัน! หากคุณชอบแฉกแสงที่มีแฉกน้อยๆ ควรเก็บเลนส์รุ่นเก่าๆ ที่ไม่ได้อยู่ในซีรีย์ L ไว้แม้ว่าคุณจะเปลี่ยนไปใช้เลนส์รุ่นใหม่กว่า 
หรือคุณอาจหาฟิลเตอร์เอฟเฟ็กต์รูปดาวมาใช้ก็ได้ แต่ควรระวังว่าฟิลเตอร์นั้นอาจส่งผลต่อความคมชัดของภาพโดยรวมได้!


เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเลนส์และเทคนิคในการใช้เลนส์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ที่:
In Focus: Lenses FAQs

แบ่งปันภาพถ่ายของคุณใน My Canon Story แล้วร่วมลุ้นโอกาสเผยแพร่ผลงานบนโซเชียลมีเดียของเรา