พื้นฐานเกี่ยวกับกล้อง #7: การวัดแสง
ฟังก์ชั่นการวัดแสงเป็นฟังก์ชั่นที่ใช้วัดความสว่างของตัวแบบ และนำมากำหนดค่าการเปิดรับแสงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภาพถ่าย เราลองมาทำความรู้จักเกี่ยวกับโหมดการวัดแสงแต่ละโหมด และไอเดียดีๆ เกี่ยวกับวิธีใช้งานที่เหมาะที่สุดสำหรับสภาวะ/ฉากต่างๆ กัน (เรื่องโดย Tomoko Suzuki)
ฟังก์ชั่นการวัดแสงทำหน้าที่วัดความสว่างของตัวแบบ
สิ่งที่ควรจดจำ
- การวัดแสงประเมินทั้งภาพสามารถนำมาใช้ได้กับภาพแทบทุกประเภท
- การวัดแสงแบบจุดจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดในกรณีที่คุณต้องการให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวแบบได้รับแสงที่เหมาะสม
- โหมดการวัดแสงแต่ละแบบจะมีชุดฉาก/สภาวะการถ่ายภาพที่โหมดนั้นๆ สามารถทำงานได้ดีที่สุด ดังนั้น ควรพิจารณาถึงเรื่องกล่าวเมื่อต้องเลือกโหมดเพื่อใช้งาน
กล้องดิจิตอลมีคุณสมบัติการเปิดรับแสงอัตโนมัติ (AE) ที่ทำหน้าที่กำหนดปริมาณการเปิดรับแสงสำหรับภาพถ่ายโดยอัตโนมัติ (เช่น ภาพควรมีความสว่างมากน้อยเพียงใด)
โดยในโหมด AE เมื่อคุณกดปุ่มชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่ง กล้องจะกำหนดค่ารูรับแสงและ/หรือค่าความเร็วชัตเตอร์โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ได้ระดับแสงที่เหมาะสม (ตามที่กล้องกำหนด) ซึ่งคุณสมบัติที่ช่วยให้กล้องสามารถกำหนดค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์โดยการวัดความสว่างของตัวแบบนี้เราเรียกว่า "การวัดแสง" โดยปกติ โหมดการวัดแสงภายในกล้องมีด้วยกัน 3 แบบ ได้แก่ การวัดแสงประเมินทั้งภาพ การวัดแสงแบบจุด และการวัดแสงแบบหนักกลางภาพ
กล้องส่วนใหญ่จะมีโหมดเริ่มต้นเป็นการวัดแสงประเมินทั้งภาพ เนื่องจากโหมดดังกล่าวจะทำหน้าที่วัดแสงทั่วทั้งภาพ จึงเหมาะสำหรับฉากและสภาพของตัวแบบทุกประเภท ในทางตรงกันข้าม การวัดแสงแบบจุดจะมีประสิทธิภาพในกรณีที่คุณต้องการให้แน่ใจว่าพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในภาพได้รับแสงอย่างเหมาะสม ในขณะที่การวัดแสงแบบหนักกลางภาพจะทำหน้าที่วัดแสงตรงบริเวณกึ่งกลางกรอบภาพ ดังนั้น การวัดแสงประเภทนี้จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อตัวแบบหรือจุดสนใจหลักของคุณอยู่ตรงกลางภาพ
เราลองมาทำความรู้จักโหมดการวัดแสงแต่ละชนิดกัน
การวัดแสงประเมินทั้งภาพ
ข้อดี: ใช้งานได้หลากหลาย ยากที่จะเปิดรับแสงผิดพลาด
ข้อเสีย: ไม่เหมาะสำหรับฉากที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งมีระดับความสว่างแตกต่างจากบริเวณอื่นๆ มาก
EOS 5D Mark III/ EF24-105mm f/4L IS USM/ FL: 88 มม./ Shutter-priority AE (f/11, 1/4 วินาที, EV+0.3)/ ISO 100/ WB: อัตโนมัติ
ในการวัดแสงประเมินทั้งภาพ กล้องจะแบ่งกรอบภาพออกเป็นโซนต่างๆ ทำการวัดปริมาณแสงในแต่ละโซน และนำผลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อกำหนดการเปิดแสงที่เหมาะสม
การวัดแสงแบบจุด
ข้อดี: จัดการฉากที่มีระดับความสว่างแตกต่างกันอย่างมากได้เป็นอย่างดี
ข้อเสีย: การวัดแสงจะดำเนินการในพื้นที่ขนาดเล็กมากดังนั้นข้อผิดพลาดใด ๆ ในการเลือกพื้นที่นี้อาจส่งผลให้ภาพที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด
EOS 60D/ EF-S18-135mm f/3.5-5.6 IS/ FL: 135 มม. (เทียบเท่า 216 มม.)/ Aperture-priority AE (f/5.6, 1/250 วินาที, EV-0.3)/ ISO 100/ WB: แสงแดด
การวัดแสงแบบจุดสามารถวัดปริมาณแสงในพื้นที่ที่จำกัดมากๆ ที่บริเวณกึ่งกลางกรอบภาพเท่านั้น อย่างไรก็ตาม โหมดนี้ใช้ได้ดีที่สุดสำหรับฉากที่บริเวณต่างๆ มีระดับความสว่างแตกต่างกันมาก เช่น ในฉากที่มีแสงย้อนจากด้านหลัง
การวัดแสงแบบหนักกลางภาพ
ข้อดี: ให้ความสำคัญกับการวัดแสงที่บริเวณกึ่งกลางภาพก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงวัดแสงในพื้นที่ส่วนที่เหลือให้มีปริมาณแสงที่พอเหมาะ
ข้อเสีย: ไม่มีผลสำหรับตัวแบบที่มีขนาดเล็ก
EOS 5D Mark III/ EF50mm f/1.4 USM/ FL: 50 มม./ Aperture-priority AE (f/2, 1/60 วินาที, EV±0)/ ISO 100/ WB: แสงแดด
การวัดแสงแบบหนักกลางภาพทำหน้าที่วัดแสงทั่วทั้งภาพ แต่จะให้ความสำคัญกับบริเวณกึ่งกลางภาพเป็นหลัก โดยปริมาณแสงของภาพทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับตัวแบบที่อยู่ตรงกลางหรือรอบๆ ใจกลางเฟรมภาพ
เชื่อมโยงคำสำคัญเหล่านี้กับแนวคิด "การวัดแสง"
คำสำคัญ: ล็อค AE
เมื่อคุณกดปุ่มล็อค AE จะเป็นการ "ล็อค" การตั้งค่าการเปิดรับแสง เพื่อไม่ให้การตั้งค่ารูรับแสงและ/หรือความเร็วชัตเตอร์เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าคุณจะเปลี่ยนหรือปรับองค์ประกอบภาพ ปรับโฟกัสใหม่ และถ่ายภาพก็ตาม นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้ฟังก์ชั่นนี้ได้ในกรณีที่องค์ประกอบหลักต่างๆ ในภาพมีระดับความสว่างที่แตกต่างกันมาก หรือในกรณีที่คุณไม่อาจได้รับปริมาณแสงตามที่ต้องการได้
ล็อค AE เป็นฟังก์ชั่นที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับการวัดแสงแบบจุด และสำหรับฉากที่มีแสงย้อนจากด้านหลัง ตัวอย่างเช่น หากคุณมีฉากที่มีแสงย้อนและตัวแบบหลักดูมืด คุณเพียงแค่ปรับแนวกรอบ AF กึ่งกลางให้ตรงกับตัวแบบ กดปุ่มชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่ง จากนั้นกดปุ่มล็อค AF เพียงเท่านี้การตั้งค่าการเปิดรับแสงจะถูกล็อคให้มีระดับแสงที่เหมาะกับพื้นที่ที่คุณต้องการจะถ่ายภาพอย่างเหมาะสม
EOS 5D Mark III/ EF24-105mm f/3.5-5.6 IS STM/ FL: 32 มม./ Aperture-priority AE (f/6.3, 1/40 วินาที, EV+0.3)/ ISO 160/ WB: Manual
ฉากที่มีทั้งส่วนที่สว่างมากและส่วนที่มืดมาก ทำการวัดแสงแบบจุดที่ตำแหน่ง A หรือ B โดยขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการให้ส่วนใดได้รับแสงอย่างเหมาะสม
ตำแหน่ง A: สำหรับระดับแสงที่เหมาะสมในส่วนที่สว่าง ให้ใช้ล็อค AE สำหรับฉากกลางแจ้ง
เนื่องจากการวัดแสงแบบจุดจะดำเนินการวัดแสงในฉากที่สว่างภายนอกหน้าต่าง ดังนั้น พัดลมที่อยู่ด้านหน้าภาพจึงกลายเป็นสีดำ
EOS 5D Mark III/ EF24-105mm f/3.5-5.6 IS STM/ FL: 105 มม./ Aperture-priority AE (f/6.3, 1/125 วินาที, EV+0.3)/ ISO 250/ WB: แสงแดด
ตำแหน่ง B: สำหรับระดับแสงที่เหมาะสมในส่วนที่มืด ให้ใช้ล็อค AE กับตัวแบบที่เป็นพัดลม
เนื่องจากการวัดแสงแบบจุดจะดำเนินการวัดแสงโดยใช้ตัวแบบพัดลม ดังนั้น ฉากกลางแจ้งจึงได้รับแสงมากเกินไปและสว่างจ้ามาก
EOS 5D Mark III/ EF24-105mm f/3.5-5.6 IS STM/ FL: 105 มม./ Aperture-priority AE (f/8, 1/125 วินาที, EV+0.3)/ ISO 2500/ WB: แสงแดด
วิธีใช้ล็อค AE
หลังจากที่คุณกดปุ่มชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่งและจับโฟกัสแล้ว ให้กดปุ่มล็อค AE (ที่วงกลมสีแดงไว้) หากคุณต้องการวัดแสงต่อไป ให้กดปุ่มล็อค AE อีกครั้ง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับล็อค AE ได้ที่:
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตั้งค่ากล้อง #9: ฉากแบบไหนที่ควรใช้ล็อค AE
รับข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการถ่ายภาพ รวมถึงเคล็ดลับและกลเม็ดต่างๆ ได้โดย ลงทะเบียนกับเรา!
เกี่ยวกับผู้เขียน
นิตยสารรายเดือนที่เชื่อว่าความสุขของการถ่ายภาพจะยิ่งเพิ่มขึ้น เมื่อผู้ถ่ายภาพได้เรียนรู้เกี่ยวกับฟังก์ชั่นต่างๆ ของกล้องมากยิ่งขึ้น นิตยสารเล่มนี้เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับกล้องรุ่นใหม่ๆ รวมถึงคุณสมบัติของกล้องและนำเสนอเทคนิคการถ่ายภาพอย่างหลากหลาย
จัดพิมพ์โดย Impress Corporation
หลังเรียนจบจากวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยโตเกียวโพลีเทคนิคแล้ว Suzuki ก็เข้าทำงานกับบริษัทโปรดักชั่นโฆษณาแห่งหนึ่ง เธอได้ทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับช่างภาพหลายคน รวมถึง Kirito Yanase และมีความเชี่ยวชาญการถ่ายภาพโฆษณาผลิตภัณฑ์จำพวกเครื่องแต่งกายและเครื่องสำอางอีกด้วย ตอนนี้เธอทำงานเป็นช่างภาพสตูดิโอให้กับบริษัทผลิตเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง