10 แนวคิดที่คุณควรทราบก่อนซื้อเลนส์ตัวที่สอง
คุณได้ถ่ายภาพด้วยเลนส์คิทมาระยะหนึ่ง และรู้สึกว่าตนเองพร้อมสำหรับการใช้เลนส์ระดับสูงขึ้นแล้ว มีเลนส์ชนิดใดบ้างและแตกต่างกันอย่างไร เราจะมาทำความรู้จักศัพท์เทคนิคต่างๆ และอธิบายคุณสมบัติต่างๆ ที่คุณควรให้ความสนใจ
1. ทางยาวโฟกัส
หมายถึงปริมาณของฉากที่ถ่ายได้ในเฟรมภาพ
ทางยาวโฟกัสของเลนส์จะบอกให้เราทราบถึงมุมรับภาพ นั่นคือ ปริมาณของฉากที่ถ่ายได้และขนาดของตัวแบบภายในเฟรมที่เรามองเห็น
ทางยาวโฟกัสสั้นๆ จะให้มุมรับภาพที่กว้างกว่า ในขณะที่ทางยาวโฟกัสยาวๆ จะให้มุมรับภาพที่แคบกว่า
ข้อควรรู้: เลนส์ต่างๆ สามารถแบ่งประเภทได้ตามทางยาวโฟกัส
ประเภทของเลนส์ | ทางยาวโฟกัส (เทียบเท่าฟอร์แมตฟิล์ม 35 มม.) |
มุมกว้างอัลตร้าไวด์ | ไม่เกิน 24 มม. |
มุมกว้าง | ไม่เกิน 35 มม. |
มาตรฐาน | 40 มม. ถึงไม่เกิน 70 มม. |
เทเลโฟโต้ระยะกลาง | 70 ถึง 135 มม. |
เทเลโฟโต้ | มากกว่า 135 มม. |
ซูเปอร์เทเลโฟโต้ | 400 มม. ขึ้นไป |
เลนส์คิทมักจะให้มุมรับภาพแบบมุมกว้างไปจนถึงเทเลโฟโต้ระยะกลาง ยกตัวอย่างเช่น เลนส์ RF-S18-45mm f/4.5-6.3 ให้มุมรับภาพเทียบเท่าฟูลเฟรมที่ 28.8 มม. ถึง 72 มม. เนื่องจากมี “คุณสมบัติการครอป” 1.6 เท่า (เราจะอธิบายความหมายของคำนี้ในข้อถัดไป)
หากคุณต้องการถ่ายภาพฉากให้ได้มากกว่าที่เคยทำได้ด้วยเลนส์คิท ควรเลือกใช้เลนส์มุมกว้างอัลตร้าไวด์
หากคุณต้องการให้สัตว์ป่าหรือวัตถุอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปดูมีขนาดใหญ่ขึ้นในเฟรมภาพ ให้ใช้เลนส์เทเลโฟโต้หรือซูเปอร์เทเลโฟโต้
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการใช้ช่วงทางยาวโฟกัสที่แตกต่างกันเพื่อการถ่ายทอดภาพอย่างมีศิลปะได้ที่บทความต่อไปนี้
เทคนิคการจัดองค์ประกอบภาพอย่างมืออาชีพ (3): ดึงความสามารถสูงสุดของเลนส์มาใช้
เลนส์ที่แตกต่าง ความรู้สึกที่แตกต่าง: การถ่ายภาพทิวทัศน์และธรรมชาติ
เทคนิคการจัดองค์ประกอบภาพสำหรับเลนส์มุมกว้าง
2. “คุณสมบัติการครอป”
ทางยาวโฟกัสที่ใช้งานจริงของกล้อง APS-C
หากคุณใช้กล้อง APS-C อย่าลืมนำตัวเลขระบุที่ทางยาวโฟกัสในชื่อเลนส์มาคูณด้วย 1.6 เพื่อให้ทราบขนาดของมุมรับภาพที่ใช้งานได้จริงหากเทียบกับทางยาวโฟกัสแบบฟูลเฟรม มิฉะนั้น คุณอาจจะได้มุมรับภาพที่ดูบีบแน่นมากเกินกว่าที่ต้องการ!
ทั้งนี้เนื่องมาจากเซนเซอร์ภาพ APS-C ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าจะบันทึกฉากได้ในปริมาณน้อยกว่า จึงมีเอฟเฟ็กต์เหมือน “การซูมเข้า” สำหรับกล้อง APS-C ของ Canon เอฟเฟ็กต์ “การซูมเข้า” นี้จะอยู่ที่ 1.6 เท่า ดังนั้น ระยะ 50 มม. จึงให้มุมรับภาพเทียบเท่า 80 มม. (50 x 1.6) ของกล้องฟูลเฟรม
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
เลนส์เดี่ยว RF 4 รุ่นที่ควรใช้กับกล้อง APS-C
3. รูรับแสงกว้างสุด
ส่งผลต่อระยะชัด (โบเก้) และการตั้งค่าในสภาวะแสงน้อย
รูรับแสง หมายถึง ช่องในเลนส์ที่เปิดให้แสงผ่านเข้ามา ช่องนี้ประกอบไปด้วยม่านรูรับแสงของเลนส์ที่ขยับได้เพื่อเปลี่ยนขนาดของช่องในการควบคุมระดับแสง ช่องที่เปิดออกได้กว้างที่สุดเรียกว่า “รูรับแสงกว้างสุด” ของเลนส์ ซึ่งจะวัดโดยใช้ f สต็อป (ค่า f) คุณจะทราบขนาดของรูรับแสงกว้างสุดได้จากชื่อของเลนส์ เช่น RF50mm f/1.8 STM (ในชื่อเลนส์บางรุ่น ตัวเลขดังกล่าวอาจแสดงเป็นช่วง เช่น f/4.5-6.3 ซึ่งเราจะอธิบายเพิ่มเติมในข้อ 5)
หากค่า f ยิ่งน้อย รูรับแสงจะยิ่งมีขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้แสงผ่านเข้ามาในระบบภายในระยะเวลาที่กำหนดได้มากขึ้น คุณสมบัตินี้ทำให้สามารถตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์และความไวแสง ISO ได้ยืดหยุ่นกว่า นอกจากนี้ยังให้ระยะชัดที่ตื้นกว่าด้วย ซึ่งจะทำให้โบเก้ (เอฟเฟ็กต์การเบลอเนื่องจากอยู่นอกโฟกัส) มีความชัดเจนขึ้น
โบเก้
f/1.8
f/4
แสงน้อย
เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างสุดใหญ่ๆ จะทำให้เกิดโบเก้ที่ยิ่งชัดเจนขึ้น และยังช่วยให้คุณสามารถใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วขณะถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย หรือใช้ค่าความไวแสง ISO ต่ำเพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดยิ่งขึ้นโดยไม่เกิดเม็ดเกรน
f/1.8 ที่ 1/1000 วินาที
f/4 ที่ 1/200 วินาที
ทั้งสองภาพถ่ายด้วยค่าความไวแสง ISO 12800 ความเร็วชัตเตอร์สูงๆ จากการใช้ค่า f/1.8 ทำให้เราสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของบอลลูกซ้ายสุดได้กลางอากาศโดยไม่เกิดภาพเบลอจากการเคลื่อนไหว
ข้อควรรู้: รูรับแสงกว้างสุดใหญ่ๆ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ AF ได้ด้วย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลนส์ #2: เลนส์ไวแสงทำให้มองเห็นผ่านช่องมองภาพได้ง่ายขึ้นหรือไม่
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลนส์ #9: อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างเลนส์ซูมเทเลโฟโต้ f/2.8 และ f/4
4. เลนส์เดี่ยวและเลนส์ซูม
ใช้ง่ายและมีช่วงทางยาวโฟกัสที่คุณไม่เคยใช้: เลนส์ซูม
โบเก้และพกพาสะดวก: เลนส์เดี่ยว
มีเลนส์อยู่ 2 ประเภทหลักๆ ที่คุณสามารถเลือกใช้ได้ นั่นคือ เลนส์เดี่ยวและเลนส์ซูม
เลนส์คิทส่วนใหญ่จะเป็นเลนส์ซูม ซึ่งคุณสามารถเปลี่ยนทางยาวโฟกัส (ซูมเข้าและออก) ได้โดยการหมุนวงแหวนการซูม หากคุณซื้อเลนส์ใหม่เพื่อใช้มุมรับภาพที่เลนส์คิทของคุณไม่มี เลนส์ซูมจะเป็นเลนส์ที่ใช้งานง่ายที่สุด!
ส่วนเลนส์เดี่ยวจะมีทางยาวโฟกัสแบบเดียวเท่านั้น คุณจึงต้อง “ใช้เท้าของตัวเองซูมเข้าออก” แต่เพราะเลนส์เหล่านี้มีโครงสร้างที่เรียบง่ายกว่า จึงทำให้นำรูรับแสงกว้างสุดที่มีขนาดใหญ่ๆ มาใช้ได้ง่ายกว่าโดยที่ยังคงความกะทัดรัดและน้ำหนักเบาของเลนส์เอาไว้ได้ หากคุณต้องการโบเก้ที่สวยงามขึ้นหรือประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในสภาวะแสงน้อย แต่ก็ต้องการเลนส์ที่มีขนาดเล็กหรือหากคุณมีงบประมาณจำกัดเช่นกัน ให้ลองใช้เลนส์เดี่ยว
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเลนส์ทั้งสองประเภทได้ในบทความต่อไปนี้
เลนส์เดี่ยวหรือเลนส์ซูม: ควรซื้อแบบไหนดี
EOS R100/ RF85mm f/2 Macro IS STM ที่ FL: 85 มม. (เทียบเท่า 136 มม.), f/2, 1/800 วินาที, ISO 100
โบเก้อันสวยงามในโฟร์กราวด์และแบ็คกราวด์ของภาพนี้ช่วยขับให้ผิวสัมผัสของกลีบดอกไม้ที่เหมือนกำมะหยี่อันนุ่มนวลดูสวยงามยิ่งขึ้น ภาพนี้เกิดจากการใช้ทางยาวโฟกัสยาวร่วมกับรูรับแสงกว้างสุดขนาดใหญ่ที่ f/2
เคล็ดลับ: เลนส์เดี่ยวเหมาะสำหรับการฝึกจัดองค์ประกอบภาพเนื่องจากเลนส์ประเภทนี้จะบังคับให้คุณต้องพยายามมากขึ้นเพื่อให้ถ่ายภาพออกมาดี หากใช้ทางยาวโฟกัสเดิมนานพอ คุณจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่าอะไรจะอยู่ในเฟรมภาพบ้างโดยไม่ต้องดูช่องมองภาพเลย! นี่คือวิธีที่ช่างภาพสตรีทบางรายใช้ในการถ่ายภาพให้ออกมาสวยงามแม้จะถ่ายภาพจากระดับสะโพก
5. เลนส์ซูมที่มีรูรับแสงแบบปรับได้และรูรับแสงคงที่
5. เลนส์ซูมที่มีรูรับแสงแบบปรับได้และรูรับแสงคงที่
คุณต้องการความอเนกประสงค์ในรูปแบบใดมากกว่า
เลนส์ซูมที่มีรูรับแสงแบบปรับได้
เลนส์คิทส่วนใหญ่เป็นเลนส์ซูมที่มีรูรับแสงแบบปรับได้ คุณสามารถทราบได้จากชื่อเลนส์ ซึ่งจะระบุรูรับแสงกว้างสุดเป็นช่วง เช่น RF-S18-45mm f/4.5-6.3 IS STM
รูรับแสงกว้างสุดจะเปลี่ยนไปตามทางยาวโฟกัส โดยมักจะกว้างที่สุดที่สุดฝั่งระยะมุมกว้างและแคบที่สุดที่สุดฝั่งระยะเทเลโฟโต้ ยกตัวอย่างเช่น หากใช้เลนส์ RF24-105mm f/4-7.1 IS STM คุณจะสามารถตั้งค่ารูรับแสงกว้างสุด f/4 ได้ที่ระยะ 24 มม. แต่ค่านี้จะค่อยๆ ลดลงในขณะที่คุณซูมเข้า ที่ระยะ 105 มม. รูรับแสงกว้างสุดที่คุณสามารถใช้ได้คือ f/7.1
เลนส์ซูมที่มีรูรับแสงแบบปรับได้มักจะมีขนาดเล็กกว่า เบากว่า และมีราคาย่อมเยากว่า เลนส์เหล่านี้เป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณให้ความสำคัญมากกับความสะดวกในการพกพาและถ่ายภาพในเวลากลางวันภายใต้สภาวะแสงที่ดีเป็นส่วนใหญ่
เลนส์ที่มีรูรับแสงคงที่
เลนส์ซูมที่มีรูรับแสงคงที่จะมีรูรับแสงกว้างสุดเท่าเดิมไม่ว่าจะใช้ทางยาวโฟกัสเท่าใด ยกตัวอย่างเช่น สำหรับเลนส์ RF24-105mm f/4L IS USM คุณสามารถตั้งค่ารูรับแสงให้เป็น f/4 ได้ไม่ว่าจะใช้ทางยาวโฟกัสใดตั้งแต่ 24 ถึง 105 มม. คุณสมบัตินี้ทำให้เลนส์ใช้งานได้อเนกประสงค์มากกว่าเลนส์ที่มีรูรับแสงแบบปรับได้ และเลนส์ประเภทนี้ยังมักจะเป็นเลนส์ในระดับมืออาชีพอีกด้วย ซึ่งให้คุณภาพของภาพที่ดีกว่าและมีโครงสร้างที่ทนทานกว่าด้วยซีลป้องกันสภาพอากาศ
6. ระยะโฟกัสใกล้สุดและกำลังขยายสูงสุด
6. ระยะโฟกัสใกล้สุดและกำลังขยายสูงสุด
จำเป็นสำหรับการถ่ายภาพแบบมาโครและภาพโคลสอัพ
ระยะโฟกัสใกล้สุด (หรือระยะการถ่ายภาพต่ำสุด) คือข้อมูลจำเพาะของเลนส์ที่บอกให้ทราบถึงระยะที่สั้นที่สุดที่เลนส์สามารถทำงานได้ก่อนจะไม่สามารถโฟกัสได้
กำลังขยายสูงสุดเป็นแนวคิดที่มีความเกี่ยวข้องกัน โดยจะทำให้ทราบถึงขนาดของตัวแบบที่ปรากฏในเฟรมภาพเมื่อใช้ระยะโฟกัสใกล้สุด และยังได้รับผลกระทบจากทางยาวโฟกัสด้วย
แต่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ระยะโฟกัสใกล้สุดที่สั้นที่สุดทุกครั้ง เนื่องจากตัวแบบที่ตื่นกลัวได้ง่าย เช่น แมลงต่างๆ อาจบินหนีไปหากเลนส์ของคุณอยู่ใกล้เกินไป! นี่คือสาเหตุที่ทำให้เลนส์มาโครเทเลโฟโต้ เช่น RF100mm f/2.8L Macro IS USM เป็นที่นิยมอย่างมากในการถ่ายภาพมาโคร เนื่องจากเลนส์เหล่านี้มีกำลังขยายสูงสุดที่สูงแม้จะถ่ายภาพจากระยะที่ไม่เป็นการรบกวนตัวแบบ
7. ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์
7. ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์
เพิ่มระยะให้เลนส์เทเลโฟโต้ของคุณ
อุปกรณ์ขยายระยะเลนส์หรือที่เรียกกันว่าตัวแปลงเลนส์ (Teleconverter) จะช่วยเพิ่มทางยาวโฟกัสเมื่อติดตั้งลงบนเลนส์ของคุณ ซึ่งค่าการเพิ่มระยะนั้นจะอยู่ในชื่อของอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ ยกตัวอย่างเช่น หากใช้ Extender RF2x กับเลนส์ RF100-400mm f/5.6-8 IS USM ก็จะเพิ่มช่วงโฟกัสออกสองเท่าเป็น 200 ถึง 800 มม. ซึ่งทำให้ถ่ายภาพโคลัสอัพของนกและสัตว์ป่าได้ดียิ่งขึ้น! อุปกรณ์ชนิดนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างสะดวกและประหยัดในการเพิ่มระยะของเลนส์เมื่อจำเป็น
สองสิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์:
1. ใช้ได้กับเลนส์บางรุ่นเท่านั้น
หากคุณคิดว่าจำเป็นต้องใช้ ควรตรวจสอบให้ดีว่าคุณมีเลนส์ที่เข้ากันได้
2. ทำให้รูรับแสงกว้างสุดลดลง
อุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ 1.4 เท่าจะทำให้ค่า f ลดลง 1 สต็อป และอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ 2 เท่าจะทำให้ค่า f ลดลง 2 สต็อป
รูรับแสงกว้างสุด | เมื่อใช้ Extender RF1.4x | เมื่อใช้ Extender RF2x |
f/2.8 | f/4 | f/5.6 |
f/4 | f/5.6 | f/8 |
f/5.6 | f/8 | f/11 |
f/8 | f/11 | f/16 |
f/11 | f/16 | f/22 |
เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างสุดใหญ่ๆ จะมีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้นเมื่อใช้กับอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ และแสงที่ผ่านเข้ามาในเลนส์มากขึ้นยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการโฟกัสอัตโนมัติด้วย!
8. ความแตกต่างระหว่างเลนส์ RF กับ RF-S
เลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับกล้องฟูลเฟรมและกล้อง APS-C
เลนส์เมาท์ RF มีอยู่สองประเภทด้วยกัน แม้ทั้งสองประเภทจะสามารถใช้ได้กับกล้องในระบบ EOS R ทุกรุ่นโดยไม่ต้องใช้เมาท์อะแดปเตอร์ แต่ก็มีข้อแตกต่างหลักๆ ดังนี้
|
|
|
ออกแบบมาสำหรับ |
|
|
รูปลักษณ์ | มักมีขนาดใหญ่กว่า (ต้องรองรับเซนเซอร์ภาพแบบฟูลเฟรมที่มีขนาดใหญ่กว่า) |
เบากว่าและเล็กกว่า (เซนเซอร์ภาพ APS-C มีขนาดเล็กกว่า) |
เมื่อติดตั้งเข้ากับกล้องฟูลเฟรม |
|
|
เมื่อติดตั้งเข้ากับกล้อง APS-C |
|
|
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ในบทความ
กล้องฟูลเฟรมและกล้อง APS-C: ควรเลือกรุ่นไหนดี
9. ความแตกต่างระหว่างเลนส์ EF กับ RF
รุ่นเก่าและรุ่นใหม่แตกต่างกันอย่างไร
เลนส์ EF/EF-S ใช้ระบบเมาท์รุ่นเก่าที่ออกแบบมาสำหรับกล้อง EOS DSLR เลนส์ RF/RF-S เป็นระบบเมาท์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาสำหรับระบบกล้องมิเรอร์เลส EOS R และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า
เลนส์ RF/RF-S ไม่สามารถใช้กับกล้อง EOS DSLR หรือกล้องมิเรอร์เลสในซีรีย์ EOS M ได้ คุณจะต้องใช้เมาท์อะแดปเตอร์จึงจะใช้เลนส์ EF/EF-S กับกล้องในซีรีย์ EOS R ได้
บทความของเราเกี่ยวกับเลนส์ EF และ RF จะแสดงข้อมูลอย่างละเอียดว่าสองระบบนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร แต่เหนืออื่นใด เลนส์ RF/RF-S จะให้ประสิทธิภาพและมีความสามารถในการใช้งานสูงสุดเมื่อใช้กับกล้องซีรีย์ EOS R
ข้อควรรู้: ความสามารถในการสื่อสารระหว่างกล้องกับเลนส์ที่ดียิ่งขึ้นของเลนส์ RF/RF-S ทำให้มีคุณสมบัติใหม่ๆ มากมาย ตัวอย่างหนึ่งคือการแสดงตัววัดระยะโฟกัสแบบเรียลไทม์บนหน้าจอ Live View/EVF (ดังแสดงด้านบน) ซึ่งช่วยในการโฟกัสแบบแมนนวล
10. เลนส์ซีรีย์ L
ซีลป้องกันสภาพอากาศและคุณภาพของภาพในระดับสูงสุด
เลนส์ในซีรีย์ “L” จะมีตัวอักษร “L” อยู่ในชื่อและมีเส้นสีแดงรอบท่อเลนส์ ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นเลนส์ระดับมืออาชีพ เลนส์ดังกล่าวนี้มี:
- การออกแบบทางออพติคอลที่ทำให้ภาพมีความชัดเจนและคมชัดสูงสุด
- กลไกเพื่อประสิทธิภาพการโฟกัสอัตโนมัติที่รวดเร็วและลื่นไหล
- ป้องกันฝุ่นละอองและหยดน้ำเพื่อความทนทานและความเชื่อถือได้ในสภาพอากาศหลากหลายแบบ
หากคุณต้องถ่ายภาพกลางแจ้งอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ที่เปียกชื้นหรือมีฝุ่นละอองมาก เช่น ในป่าหรือน้ำตก ซีลป้องกันสภาพอากาศและความทนทานของเลนส์ซีรีย์ L จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
ข้อควรรู้: หากคุณเป็นเจ้าของกล้องในซีรีย์ EOS R ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดและมีเลนส์ในซีรีย์ L อย่างน้อย 3 ตัว คุณจะมีสิทธิ์เป็นสมาชิก EOS Professional Silver ฟรี ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Canon Professional Services (เอเชีย) (ฉบับภาษาอังกฤษ) โปรดอย่าลืมข้อนี้ขณะสร้างคอลเลกชันเลนส์ของคุณ!