EOS R3 กับ EOS-1D X Mark III: ควรตัดสินใจเลือกอย่างไร
เมื่อเปิดตัวกล้อง EOS R3 ปัจจุบันจึงมีกล้องระดับมืออาชีพที่สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงได้สองรุ่นในกลุ่ม EOS นั่นคือ EOS R3 และ EOS-1D X Mark III กล้องเหล่านี้แตกต่างกันอย่างไร และคุณควรพิจารณาอะไรบ้างหากต้องตัดสินใจเลือกระหว่างกล้องสองรุ่น หาคำตอบได้จากบทความนี้
1. ขนาดและน้ำหนัก
2. วงแหวนและปุ่มต่างๆ
3. ความละเอียดของภาพนิ่งและประสิทธิภาพในการสร้างภาพถ่าย
4. ประสิทธิภาพความไวแสง ISO สูง
5. ประสิทธิภาพของชัตเตอร์กล
6. ประสิทธิภาพของชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์
7. ประสิทธิภาพ AF
8. ระบบป้องกันภาพสั่นไหว
9. ช่องมองภาพ
10. ประสิทธิภาพในการถ่ายวิดีโอ
1. ขนาดและน้ำหนัก
ขนาด
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดระหว่างกล้อง EOS R3 และ EOS-1D X Mark III คือขนาดและน้ำหนัก เนื่องจากเป็นกล้องมิเรอร์เลส EOS R3 จึงไม่จำเป็นต้องมีช่องมองภาพแบบออพติคอลหรือชุดกระจก ซึ่งทำให้มีน้ำหนักเบากว่าและขนาดเล็กกว่า ในขณะที่ EOS-1D X Mark III เป็นกล้อง DSLR จึงมีระบบกระจก และการที่มีช่องมองภาพแบบออพติคอลที่ครอบคลุมเซนเซอร์ฟูลเฟรม 100% ยังทำให้จำเป็นต้องใช้เพนทาปริซึมขนาดค่อนข้างใหญ่ด้วย เพนทาปริซึมทำจากกระจก ซึ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กล้อง EOS-1D X Mark III
ในส่วนของความกว้างนั้นไม่มีความแตกต่างมากนัก เนื่องจากกล้อง EOS R3 แคบกว่าเพียง 8 มม. อย่างไรก็ตาม ความสูงที่ต่างกัน 25 มม. นั้นเห็นได้ชัดเจนกว่า และทำให้กล้อง EOS R3 ดูมีขนาดกะทัดรัดกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน
ความหนา
สำหรับความลึก หากดูตามคู่มือ EOS-1D X Mark III จะดูเป็นกล้องที่บางกว่า เนื่องจาก EOS R3 นั้นหนากว่า 4.6 มม. ทั้งนี้เนื่องมาจากช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EVF) ของกล้อง EOS R3 ยื่นออกมามากกว่า แต่หากวัดเฉพาะความหนาจากเมาท์ของเลนส์ไปจนถึงด้านหลังของตัวกล้อง EOS R3 จะบางกว่าประมาณ 54 มม. เมื่อเทียบกับ EOS-1D X Mark III ที่ 66 มม.
น้ำหนัก
หากไม่รวมแบตเตอรี่หรือหน่วยความจำ EOS R3 มีน้ำหนักประมาณ 822 ก. ในขณะที่ EOS-1D X Mark III หนักประมาณ 1250 ก. น้ำหนักที่แตกต่างกัน 428 ก. อาจนับว่าค่อนข้างมากสำหรับช่างภาพที่ใช้เลนส์ขนาดใหญ่และหนัก เช่น เลนส์ซูเปอร์เทเลโฟโต้ระดับมืออาชีพ
2. วงแหวนและปุ่มต่างๆ
ไม่มีความแตกต่างที่เด่นชัดในอินเทอร์เฟซ
EOS R3 และ EOS-1D X Mark III มีจำนวนปุ่มแทบไม่ต่างกันในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน และทั้งสองรุ่นยังมี Smart Controller ระบบสัมผัสควบคุมด้วยเซนเซอร์ซึ่งอยู่ด้านบนปุ่ม AF-ON ไม่ว่าคุณคิดจะเปลี่ยนจาก EOS-1D X Mark III มาใช้ EOS R3 หรือจะใช้กล้องทั้งสองรุ่นคู่กันก็สามารถทำได้อย่างราบรื่นในเรื่องของอินเทอร์เฟซและการใช้งาน
EOS R3: ปุ่มสำคัญอยู่ใต้นิ้วหัวแม่มือของคุณ
ข้อแตกต่าง: EOS R3 ไม่มีปุ่มตั้งค่า WB และความไวแสง ISO ที่แผงจอด้านบนเหมือน EOS-1D X Mark III แต่ EOS R3 จะมีวงแหวนอิเล็กทรอนิกส์รองวงที่สองอยู่ใต้นิ้วหัวแม่มือของคุณแทน ความจริงแล้วขณะนี้ปุ่มด้านหลังที่สำคัญอยู่ในตำแหน่งที่คุณสามารถใช้หัวแม่มือกดได้ง่ายขึ้นขณะถือกล้องด้วยมือขวา ซึ่งนับเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่มีมือขนาดเล็ก
3. ความละเอียดของภาพนิ่งและประสิทธิภาพในการสร้างภาพถ่าย
จำนวนพิกเซลและเมาท์
EOS R3 มีจำนวนพิกเซลที่ใช้จริงมากกว่า EOS-1D X Mark III ประมาณ 4 ล้านพิกเซลพิกเซล และยังมีเมาท์ RF ที่ทำให้ภาพมีคุณภาพสูงจนถึงขอบ ภาพจึงดูมีความละเอียดยิ่งกว่าที่คาดจากจำนวนพิกเซล อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าช่างภาพกีฬาและช่างภาพงานข่าวจำนวนมากยังคงใช้กล้อง EOS-1D X Mark III จำนวนพิกเซลที่ใช้งานจริง 20.1 ล้านพิกเซลนั้นเพียงพอสำหรับการพิมพ์สื่อโฆษณาขนาด A3
โหมด HDR ที่ดียิ่งขึ้นและรองรับการถ่ายภาพคร่อมในรูปแบบ HDR PQ HEIF
ทั้ง EOS-1D X Mark III และ EOS R3 รองรับการถ่ายภาพ HDR PQ ในรูปแบบ HEIF 10 บิต ในกล้อง EOS R3 คุณสมบัตินี้ครอบคลุมไปถึงโหมด HDR ซึ่งถ่ายภาพคร่อมที่มีความสว่างแตกต่างกันสามแบบและนำมาซ้อนกันได้ คุณสามารถเลือกถ่ายและบันทึกภาพในรูปแบบ HDR PQ HEIF เพื่อให้ได้ช่วงไดนามิกเรนจ์ที่กว้างยิ่งขึ้น
ไม่ว่าคุณจะบันทึกภาพในรูปแบบ JPEG หรือ HDR PQ HEIF กล้อง EOS R3 ก็สามารถบันทึกภาพถ่ายคร่อมได้เร็วกว่า ที่ความเร็วสูงสุดถึง 0.02 วินาที คุณสมบัตินี้ช่วยลดโอกาสการเกิดภาพเบลอและการสั่นของกล้อง แม้ในขณะถ่ายภาพด้วยมือ
และกล้อง EOS R3 ยังรองรับ Focus Bracketing จึงสามารถถ่ายภาพแบบซ้อนโฟกัสได้
4. ประสิทธิภาพความไวแสง ISO สูง
|
|
ความไวแสง ISO แบบขยาย 204,800 ขีดจำกัด AF ในสภาวะแสงน้อย: EV -7.5 |
ความไวแสง ISO แบบขยาย 819,200 ขีดจำกัด AF ในสภาวะแสงน้อย: EV -6 |
ความไวแสง ISO ปกติเท่ากัน แต่ความไวแสง ISO แบบขยายและขีดจำกัด AF ในสภาวะแสงน้อยต่างกัน
EOS-1D X Mark III และ EOS R3 มีความไวแสง ISO ปกติสูงสุดเท่ากันที่ 102,400 เมื่อใช้ความไวแสง ISO ที่สูงเช่นนี้ จะเกิดจุดรบกวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จะเห็นได้ไม่ชัดเจนนักในงานพิมพ์และรูปแบบการแสดงภาพที่มีขนาดเล็ก และความไวแสง ISO ปกติสูงสุดที่เพิ่มมากขึ้นยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของความไวแสง ISO สูงโดยรวมด้วย และความไวแสง ISO 6400 ทำให้ได้ภาพที่ค่อนข้างคมชัดในกล้องทั้งสองรุ่น คุณสมบัตินี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในสถานการณ์ที่คุณจำเป็นต้องใช้ความเร็วสูงเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของตัวแบบหรือหลีกเลี่ยงการสั่นของกล้องขณะถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย
EOS R3: ISO 102,400
EOS-1D X Mark III: ISO 102,400
EOS-1D X Mark III: ISO 409,600
โดยปกติแล้ว หากกล้องสองรุ่นมีเซนเซอร์ขนาดเท่ากัน (เช่น เซนเซอร์ฟูลเฟรม) กล้องที่มีจำนวนพิกเซลน้อยกว่าจะมีประสิทธิภาพความไวแสง ISO สูงที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม EOS R3 ได้นำเอาเซนเซอร์ภาพ CMOS ซ้อนกันแบบรับแสงด้านหลังที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่มาใช้ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้มีความไวแสง ISO ปกติเท่ากับ EOS-1D X Mark III เท่านั้น แต่ยังเพิ่มขีดจำกัด AF ในสภาวะแสงน้อยเป็น EV -7.5 อีกด้วย
ในขณะเดียวกัน ค่าความไวแสง ISO แบบขยายของ EOS-1D X Mark III นั้นสูงถึง ISO 819,200 ซึ่งพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่คุณต้องใช้ความสามารถในการถ่ายภาพโดยไม่คำนึงถึงจุดรบกวน ศักยภาพดังกล่าวคือจุดแข็งของกล้อง EOS-1D X Mark III
5. ประสิทธิภาพของชัตเตอร์กล
เมื่อคุณต้องการถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงให้เร็วขึ้นโดยไม่เกิดเอฟเฟ็กต์ Rolling Shutter
EOS-1D X Mark III มีชัตเตอร์กลที่เร็วกว่า ซึ่งรองรับความเร็วในการถ่ายต่อเนื่องสูงสุดถึง 16 fps เมื่อเทียบกับ 12 fps ในกล้อง EOS R3 การใช้ชัตเตอร์กลในการถ่ายตัวแบบที่เคลื่อนที่เร็วช่วยป้องกันการเกิดความบิดเบี้ยวจากเอฟเฟ็กต์ Rolling Shutter ซึ่งมักเกิดกับชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ หากคุณต้องการถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงโดยปราศจากความเสี่ยงในการเกิดเอฟเฟ็กต์ Rolling Shutter กล้อง EOS-1D X Mark III ถือเป็นผู้ได้เปรียบ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
โหมดชัตเตอร์และโหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง: ควรใช้แต่ละโหมดเมื่อใด
6. ประสิทธิภาพของชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์
ความเร็วชัตเตอร์และความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่อง
ความเร็วในการอ่านสัญญาณที่สูงขึ้นของเซนเซอร์ภาพ CMOS ซ้อนกันแบบรับแสงด้านหลังรุ่นใหม่ของกล้อง EOS R3 ทำให้ชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด:
- สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 30 fps แม้ความเร็วในการถ่ายภาพจริงจะขึ้นอยู่กับการตั้งค่าและสภาวะในการถ่ายภาพของคุณ
- การบิดเบี้ยวของ Rolling Shutter ที่น้อยลงอย่างมาก
- ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดถึง 1/64,000 วินาที
ในทางกลับกัน กล้อง EOS-1D X Mark III สามารถถ่ายภาพได้สูงสุด 20 fps ขณะถ่ายด้วย Live View แม้จะทำให้คุณไม่ได้ใช้ช่องมองภาพก็ตาม
วินาทีที่ลูกโป่งใส่น้ำแตกออก ถ่ายที่ 1/64000 วินาทีด้วยกล้อง EOS R3 EOS R3 ช่วยยกระดับความสามารถในการถ่ายภาพในสถานการณ์ต่างๆ ขึ้นไปอีกขั้น
การถ่ายภาพด้วยแฟลชขณะใช้ชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์
การอ่านสัญญาณเซนเซอร์ภาพที่ช้ากว่าขณะถ่ายภาพด้วยชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ทำให้เกิดแถบสีดำบนภาพเมื่อใช้แฟลชในการถ่ายภาพ EOS-1D X Mark III ไม่รองรับการถ่ายภาพด้วยแฟลชขณะใช้ชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ EOS R3 สามารถทำได้
7. ประสิทธิภาพของ AF
กล้องระดับมืออาชีพมักถูกนำมาใช้ถ่ายภาพการเคลื่อนไหวในฉาก เช่น การแข่งขันกีฬาหรือชีวิตสัตว์ป่า ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมประสิทธิภาพในการโฟกัสอัตโนมัติ (AF) จึงเป็นคุณสมบัติที่ควรพิจารณาขณะตัดสินใจเลือกซื้อกล้อง
OVF หมายถึงเซนเซอร์ AF แยกกัน
ขณะถ่ายภาพด้วยช่องมองภาพแบบออพติคอล (OVF) ในกล้อง EOS-1D X Mark III เซนเซอร์ AF อีกตัวหนึ่งจะทำหน้าที่ในการโฟกัสอัตโนมัติด้วย Phase Detection AF ที่มีความแม่นยำสูง ในการถ่ายแบบ Live View การโฟกัสอัตโนมัติจะทำโดยระบบ Dual Pixel CMOS AF ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับ Phase-difference ตามระนาบภาพโดยใช้พิกเซลในเซนเซอร์ภาพ
แต่สำหรับการถ่ายภาพผ่าน EVF ด้วยกล้องมิเรอร์เลสเช่น EOS R3 นั้น ภาพที่แสดงบน EVF จะเหมือนกับที่แสดงใน Live View ดังนั้น จึงสามารถใช้ Dual Pixel CMOS AF ได้ในการถ่ายภาพทั้งสองวิธี (อ่านเพิ่มเติมได้ที่: 9. ช่องมองภาพ)
|
|
เซนเซอร์ AF เฉพาะในกล้อง EOS-1D X Mark III
เซนเซอร์ AF ในกล้อง EOS-1D X Mark III มีจุด AF 191 จุดที่ครอบคลุมพื้นที่สีแดงในภาพด้านบน ในจำนวนนี้ มี 155 จุดที่เป็นเซนเซอร์แบบบวกที่สามารถตรวจจับได้ทั้งในแกนแนวนอนและแนวตั้ง ซึ่งทำให้มีความแม่นยำสูง นี่เป็นระบบที่เพียงพอสำหรับองค์ประกอบภาพส่วนใหญ่
นอกจากนี้ ระบบการติดตาม AF ขณะถ่ายภาพต่อเนื่องยังได้รับการปรับปรุงมาตลอดระยะเวลาหลายปีจากความคิดเห็นของช่างภาพมืออาชีพ คุณจึงสามารถมั่นใจได้ในประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น กล้องรุ่นนี้ยังมีระบบตรวจจับและติดตามตัวแบบด้วย EOS iTR AF X ซึ่งสามารถตรวจจับและติดตามใบหน้าและศีรษะของตัวแบบได้ รวมทั้งสีสันและรูปร่างต่างๆ เพื่อความถูกต้องและแม่นยำที่มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณสมบัตินี้ไม่สามารถตรวจจับดวงตาได้ จึงสามารถทำได้ในขณะถ่ายภาพผ่าน Live View ด้วย Dual Pixel CMOS AF เท่านั้น
เปรียบเทียบความสามารถในการตรวจจับตัวแบบ
|
|
|
|
|
|
|
|
|
(รถยนต์ มอเตอร์ไซค์) |
|
|
AF ในกล้อง EOS R3
กล้อง EOS R3 จะใช้ Dual Pixel CMOS AF ในการโฟกัสอัตโนมัติทั้งในขณะถ่ายผ่านช่องมองภาพและแบบ Live View หากใช้โหมดที่รองรับการตรวจจับตัวแบบ ระบบ EOS iTR AF X จะตรวจจับตัวแบบในพื้นที่ AF ที่ครอบคลุม 100% × 100% (แนวนอน × แนวตั้ง) ของเฟรมภาพ เมื่อไม่ใช้การตรวจจับตัวแบบ พื้นที่ AF จะครอบคลุม 90% × 100% (แนวนอน × แนวตั้ง) ของเฟรมภาพ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: การจัดองค์ประกอบภาพทำได้ง่ายขึ้นในกล้องมิเรอร์เลสใช่หรือไม่
คุณสมบัติ AF ขั้นสูง
ในขณะที่ทั้ง EOS R3 และ EOS-1D X Mark III ต่างก็ใช้ระบบประมวลผลภาพ DIGIC X แต่ EOS R3 มีความสามารถในการตรวจจับตัวแบบที่สูงกว่ามากด้วยเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก และยังมีคุณสมบัติการควบคุม AF ขั้นสูง เช่น Eye Control AF จึงหมายความว่ากล้องสามารถจับโฟกัสอัตโนมัติด้วยตนเองได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องอาศัยคำสั่งจากผู้ใช้มากนัก
คุณต้องการการควบคุมระดับใด
ระบบ AF ของกล้องนั้นมีความเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติอื่นๆ มากมาย แต่กล่าวโดยสรุปคือ AF ในกล้อง EOS-1D X Mark III ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อเทคนิคที่ช่างภาพใช้ ในขณะที่ AF ของกล้อง EOS R3 ซึ่งมีคุณสมบัติของระบบอัตโนมัติอันล้ำสมัยนั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ช่างภาพสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น
8. ระบบป้องกันภาพสั่นไหว
EOS R3 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัวกล้อง (IS ในตัวกล้อง) ในเซนเซอร์ภายในตัวกล้องที่สามารถป้องกันการสั่นไหวได้ 5 แกน เมื่อติดตั้งเลนส์ RF ที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออพติคอล (IS แบบออพติคอล) ระบบป้องกันภาพสั่นไหวในเลนส์และในตัวกล้องจะทำงานร่วมกันจนเกิดเป็นระบบ IS แบบประสานการควบคุมที่ให้เอฟเฟ็กต์การป้องกันภาพสั่นไหวที่ดีกว่าโดยสามารถแก้ไขการสั่นของกล้องได้เทียบเท่าความเร็วชัตเตอร์สูงสุด 8 สต็อป
|
|
- ระบบ IS แบบประสานการควบคุม (เมื่อใช้ร่วมกับระบบ IS แบบออพติคอล) |
|
ทางยาวโฟกัสมีความสำคัญ
โดยทั่วไปแล้ว ระบบ IS ในตัวกล้องจะสามารถแก้ไขการสั่นของกล้องขณะถ่ายภาพในมุมกว้างได้ดีกว่า ในขณะที่ IS แบบออพติคอลเหมาะสำหรับการแก้ไขการสั่นของกล้องเมื่อใช้ทางยาวโฟกัสยาว ดังนั้น เมื่อถ่ายภาพด้วยเลนส์เทเลโฟโต้ IS ในตัวกล้องและ IS แบบประสานการควบคุมจึงให้ข้อดีที่จำกัดหากเทียบกับการใช้ IS แบบออพติคอลเพียงอย่างเดียว หากคุณถ่ายภาพที่ 200 มม. หรือมากกว่าเป็นส่วนใหญ่ ก็สามารถใช้กล้อง EOS-1D X Mark III ได้
อย่างไรก็ตาม หากคุณถ่ายภาพพอร์ตเทรตหรือตัวแบบอื่นๆ ที่ต้องใช้ทางยาวโฟกัสในช่วงมาตรฐานไปจนถึงเทเลโฟโต้ระยะกลางเป็นส่วนใหญ่ คุณจะได้ประโยชน์มากมายจาก IS ในตัวกล้องของ EOS R3 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้เลนส์ที่ไม่มี IS แบบออพติคอล เช่น เลนส์ 50mm f/1.2 และ 85mm f/1.2
ประสิทธิภาพการป้องกันภาพสั่นไหวเมื่อใช้กล้อง EOS R3 กับเลนส์ RF หลัก
|
|
|
RF24-105mm f/4L IS USM |
|
|
RF50mm f/1.2L USM |
|
|
RF24-70mm f/2.8L IS USM |
|
|
RF15-35mm f/2.8L IS USM |
|
|
RF70-200mm f/2.8L IS USM |
|
|
RF100-500mm f/4.5-7.1L IS USM |
|
|
RF85mm f/1.2L USM |
|
|
9. ช่องมองภาพ
ช่องมองภาพของกล้องทั้งสองรุ่นให้ความครอบคลุมและกำลังขยายเท่ากัน ดังนั้น ในที่สุดแล้วจึงขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบ EVF (EOS R3) หรือช่องมองภาพแบบออพติคอล (EOS-1D X Mark III) มากกว่า
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
EVF ทำงานโดยการฉายภาพ Live View ลงไปบนแผงหน้าจอ OLED ในช่องมองภาพ จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใดช่างภาพบางคนจึงมีความกังวลเกี่ยวกับความหน่วงในการแสดงภาพเมื่อเทียบกับ OVF ซึ่งทำให้มองเห็นฉากได้โดยตรง
แผงหน้าจอ OLED ความละเอียดสูงพิเศษ 5.76 ล้านจุดของกล้อง EOS R3 สามารถแสดงภาพได้สูงสุด 119.88 fps ซึ่งให้การมองเห็นที่ราบรื่นและเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ เช่นเดียวกับภาพ Live View ภาพใน EVF ยังสามารถแสดงเอฟเฟ็กต์ของการตั้งค่าการเปิดรับแสง สมดุลแสงขาว และรูปแบบภาพได้ คุณจึงมองเห็นและปรับการตั้งค่าได้ในขณะถ่ายภาพ และคุณยังสามารถตรวจดูลักษณะของโบเก้ได้ด้วย ซึ่งไม่สามารถทำได้หากใช้ OVF
คุณสมบัติ OVF View Assist เพื่อจำลองการมองเห็นแบบ OVF
สำหรับผู้ที่มีความกังวลเรื่องโทนสี กล้อง EOS R3 มีคุณสมบัติ OVF Simulation View Assist ที่ใช้เทคโนโลยี HDR ในการแสดงภาพในช่องมองภาพด้วยช่วงไดนามิกเรนจ์และโทนสีที่ใกล้เคียงกับภาพใน OVF
ข้อดีของ OVF
OVF ในกล้อง EOS-1D X Mark III เป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของกล้องระดับมืออาชีพซึ่งเป็นผลผลิตจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่ามีประสิทธิภาพมาตรฐานสูงสุดที่เป็นไปได้สำหรับ OVF และจอแสดงภาพแบบออพติคอลยังไม่มีอาการหน่วง ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่างภาพที่ให้ความสำคัญกับจังหวะในการลั่นชัตเตอร์ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่จะขาดไปไม่ได้ นอกจากนี้ การมองผ่าน OVF เป็นเวลานานยังทำให้สายตาเหนื่อยล้าน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ EVF
OVF หรือ EVF
มีเหตุผลที่ดีมากมายที่ทำให้คุณอยากใช้ OVF และหากเหตุผลเหล่านั้นสำคัญกับคุณ กล้อง EOS-1D X Mark III คือตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่ EVF เองก็มีประโยชน์เช่นกัน และสำหรับกล้อง EOS R3 คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
พื้นฐานเกี่ยวกับกล้อง #12: ช่องมองภาพ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลนส์ #2: เลนส์ไวแสงทำให้มองเห็นผ่านช่องมองภาพได้ง่ายขึ้นหรือไม่
10. ประสิทธิภาพในการถ่ายวิดีโอ
6K RAW กับ 5.5K RAW: แตกต่างกันมากหรือไม่
คุณภาพสูงสุดในการบันทึกวิดีโอของกล้องแต่ละรุ่นเป็นดังต่อไปนี้:
EOS R3: 6K RAW 59.94/50.00 fps
EOS-1D X Mark III: 5.5K RAW 59.94/50.00 fps
เมื่อมองดูโดยตรง จะไม่เห็นความแตกต่างมากนักระหว่าง 6K และ 5.5K ความจริงแล้ว รูปแบบการบันทึกเหล่านี้มีไว้สำหรับบันทึกวิดีโอ 4K แบบสุ่มด้วยความถี่สูงให้มีคุณภาพสูงหรือการครอปเพื่อจุดประสงค์ด้านความสร้างสรรค์ในการผลิตวิดีโอ 4K แน่นอนว่าความละเอียดระดับ 6K ที่สูงกว่าของกล้อง EOS R3 ทำให้มีความยืดหยุ่นในการครอปมากกว่า แต่คุณจะเห็นได้จากแผนภาพด้านล่างว่าอาจไม่มากเท่าที่คุณคิด
การถ่ายภาพอัตราต่อเฟรมสูง
กล้องทั้งสองรุ่นรองรับทั้งรูปแบบ 4K DCI และ 4K UHD และสามารถผลิตวิดีโอ 4K คุณภาพสูงได้โดยการใช้ประโยชน์จากความละเอียดในการบันทึกสูงสุดสำหรับการสุ่มด้วยความถี่สูง ความแตกต่างหลักๆ จึงอยู่ที่โหมดอัตราต่อเฟรมสูง: EOS R3 สามารถถ่ายได้ทั้งวิดีโอ 4K UHD และ Full HD ที่ 119.88/100.00 fps แต่ EOS-1D X Mark III สามารถทำได้ในรูปแบบ Full HD เท่านั้น
|
|
|
|
|
|
|
FHD 119.88/100.00fps |
|
|
Canon Log 3 |
|
ความสามารถด้าน HDR
กล้อง EOS-1D X Mark III รองรับเฉพาะ Canon Log เท่านั้น (ช่วงไดนามิกเรนจ์: ประมาณ 800% ที่ ISO 400 หรือสูงกว่า) ในขณะที่ EOS R3 รองรับทั้ง Canon Log 3 และ HDR PQ
Canon Log 3 ให้ช่วงไดนามิกเรนจ์สูงสุดถึง 1600% ในขณะที่ยังคงข้อดีของ Canon Log ในการปรับแก้สีเอาไว้ ในขณะเดียวกัน HDR PQ ก็เป็นมาตรฐาน HDR ที่มีการนำมาใช้มากขึ้นทั้งในภาพยนตร์และวิดีโอออนไลน์ หากคุณมีหน้าจอที่ดูภาพ HDR PQ ได้ คุณจะสามารถทำได้แม้กระทั่งดูภาพวิดีโอแบบ HDR ในโหมด HDR PQ โดยไม่ต้องปรับแก้สีก่อน
เวลาในการบันทึกต่อเนื่อง
คุณสมบัติอีกข้อหนึ่งที่ทำให้กล้องทั้งสองรุ่นแตกต่างกันคือเวลาในการบันทึกวิดีโอแบบต่อเนื่อง คู่มือระบุว่า ขีดจำกัดในการบันทึกวิดีโอของกล้อง EOS-1D X Mark III คือ 30 นาที ในขณะที่กล้อง EOS R3 ทำได้ 6 ชั่วโมงในการบันทึกวิดีโอปกติ และสูงสุด 1 ชั่วโมง 30 นาทีสำหรับวิดีโออัตราต่อเฟรมสูง ในการใช้งานจริง ระยะเวลาการถ่ายวิดีโอจะขึ้นอยู่กับความร้อนของกล้อง แต่เราสามารถสรุปได้ว่า EOS R3 สามารถถ่ายวิดีโอได้นานกว่า
สรุป
ในฐานะกล้องรุ่นที่ 3 ของซีรีย์ EOS-1D X ระดับท็อปที่นำเอาเทคโนโลยี DSLR ที่ดีที่สุดของ Canon มาใช้ EOS-1D X Mark III จึงเป็นกล้องที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อความเป็นเลิศในการตอบสนองต่อสัญชาตญาณและเทคนิคของช่างภาพมืออาชีพผู้มากประสบการณ์ ในขณะที่ EOS R3 ซึ่งเป็นกล้องระดับมืออาชีพรุ่นแรกในกลุ่ม EOS R เป็นกล้องอัจฉริยะที่มีจุดเด่นของเทคโนโลยีกล้องมิเรอร์เลสอันล้ำสมัย รวมถึงเมาท์ RF ที่ให้คุณภาพด้านออพติคอลที่ดียิ่งขึ้น
กล้องทั้งสองรุ่นอาจมีคุณสมบัติและเทคโนโลยีที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่ต่างก็ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจในความน่าเชื่อถือ ความทนทาน และประสิทธิภาพ แม้อยู่ภายใต้สภาวะที่ท้าทายซึ่งพบได้ในการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า กีฬา หรือภาพข่าวต่างๆ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกรุ่นใด คุณก็สามารถวางใจได้ในคุณภาพระดับมืออาชีพของกล้องทั้งสองรุ่น
ราคา
|
|
|
|
รับข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการถ่ายภาพ รวมถึงเคล็ดลับและกลเม็ดต่างๆ
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนชาว SNAPSHOT
ลงทะเบียนตอนนี้!